When the mainstream media are being influenced and dictated by the ruling elites and the tyrannical royal government, this is a blog that collects and presents resources on Thai politics from alternative and foreign sources.
Saturday, August 29, 2015
ข่าวกอท.เสรีไทย:30สค.58
ปล้นชาติ หมกเม็ด คสช.จะทำสัญญากับบริษัทจีนสร้างทางรถไฟต้นเดือนกย.นี้
รัฐบาล มียังงี้ด้วยเหรอ..หมกเม็ด จะทำสัญญากับบริษัทจีนสร้างทางรถไฟต้นเดือนกย.นี้...เป็น ที่อึกทึกครึกโครม แก่ชาวโลก เมื่อตอนเช้า 28 ส.ค.2558 ตามเวลาไทย
ผม ขอให้ความเห็นของ ผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังต่อไปนี้:
๑. การ หรือนิติกรรม นี้ ต้องตกเป็นโมฆะทั้งหมด เพราะ นิติกรรมนี้ ไปขัด หรือ แย้ง กับ Convention against Transnational Organized Crime, 2000 มีผลบังคับทั่วไปในเดือน Sept. 2003 ประเทศไทยให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาฉบับนี้ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๖ หรือ ปีค.ศ.๒๐๑๓ ไปโดยสมบูรณ์แล้ว
๒. คณะ คสช. หรือไม่ว่า รัฐบาล [เถื่อน] ไม่ว่าชุดใด นับแต่มี คสช. เป็นต้นมา มิใช่รัฐบาล แต่ เป็น Junta คณะบุคคล ที่จับยึดเอาอำนาจรัฐ ไปใช้โดยมิชอบ และ มีคุณลักษณะที่เป็น Transnational Organized Criminals ตาม Convention against Transnational Organized Crime, 2000 ให้ศึกษาดูวิเคราะห์ศัพท์ในบทบัญญัติที่ ๑ และบทบัญญัติที่ ๒ ของสนธิสัญญาฉบับนี้ให้ดีๆ
๓. เมื่อจะดื้อด้านทำกันต่อไป ประชาชนคนไทย ในฐานะ ที่เป็นผู้เสียหาย ตามคำพิพากษาของศาลนานาชาติ (ศาลอุทธรณ์เขตที่ ๒ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ทำหน้าที่เป็น the Supreme Court) ในคดีที่ชื่อว่า Tel - Oren, 1982 ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ต้องประกาศเปลี่ยนวิถีปฏิบัติในระหว่างประเทศ และ ทุกๆประเทศใน EU และ ประเทศพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาที่เจริญแล้ว ต่างยอมรับในการตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ และศาลอุทธรณ์เขตที่ ๒ ของสหรัฐอเมริกาดังกล่าว
๔. ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ และทั่วโลก จึงเป็นผู้เสียหาย ตามกฏหมายระหว่างประเทศ ที่จะขอให้ องค์การสหประชาชาติ และ นานาชาติ ดำเนินการดังต่อไปนี้:
๔.๑ ยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่อให้องค์การสหประชาชาติ และ นานาชาติ ดำเนินการสอบสวนกับ Junta (คณะ คสช.) ตามสนธิสัญญาฉบับข้างต้น เพื่อทำการเจรจา ขจัดปัญหาให้ลุล่วงไป โดยคณะเจรจา ที่ตั้งมาโดยองค์การสหประชาชาติ และนานาชาติ ภายในเวลาหกเดือน
๔.๒ หากการเจรจาในระหว่าง Junta (คณะ คสช. และรัฐบาล [เถื่อน]) ไม่ได้ผล ขอให้องค์การสหประชาชาติ และนานาชาติ ตั้งอนุญาโตตุลาการมาชี้ขาดในปัญหาข้อขัดแย้งนี้ ให้เสร็จสิ้นไปในหกเดือน
๔.๓ หากเมื่อ มีการชี้ขาดโดยอนุญาโตตุลาการ ที่ตั้งมาตาม ขัอ ๔.๒ ภายในหกเดือน ไม่ได้ผล องค์การสหประชาชาติ และนานาชาติ ย่อมมีสิทธินำคำบังคับของอนูญาโตตุลาการระหว่างประเทศชุดนี้ ไปสู่การดำเนินการฟ้องร้อง Junta (คณะ คสช. และรัฐบาล [เถื่อน] ทุกตัวคน) เป็นจำเลยในศาลโลก หรือ ICJ, the International Court of Justice ภายในเวลาหกเดือน
ทั้งนี้การบังคับตามสนธิสัญญาฉบับที่กล่าวมาข้างต้นนี้ มีบัญญัติไว้ในสนธิสัญญาฉบับนี้แล้ว และ
๕. เมื่อได้ดำเนินการมาอย่างครบถ้วน ตามสนธิสัญญาฉบับ ที่กล่าวนี้แล้ว ย่อมไม่ห้ามศาลโลก หรือ ICJ, the International Court of Justice ในฐานะองค์กรชำนัญการของสหประชาชาติ
๖. ที่จะดำเนินการ Refer Case นี้ที่มีผลในทางแพ่ง เข้าสู่ ศาลอาญาพิเศษขององค์การสหประชาชาติ ศาลใด ศาลหนึ่งในห้าศาล ที่ได้ตั้ง และ ได้ให้อำนาจ ในการพิจารณาและพิพากษาคดีอาญาไว้แล้ว และ มีอำนาจเต็มเปี่ยม โดยสมบูรณ์ ที่จะพิจารณา และ พิพากษาคดีอาญาระหว่างประเทศ ตามสนธิสัญญาฉบับนี้ และ Convention against Corruption, 2003 และ สนธิสัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Security Council Resolutions ที่ 827 (1993) และ Resolutions อื่นๆ ที่ออกตามความ หรือล้อกับ Resolutions ที่กล่าวถึงนี้
๗. พี่น้องประชาชนคนไทย ในเมืองไทย และ ที่อยู่ในต่างประเทศทั้งหมด โปรดเตรียมตัว เตรียมใจ ลงมือปฏิบัติการ ตามกฏหมาย โดยวิถีแห่งสันติธรรม ได้เลย เพราะงานเข้าแล้ว โปรดจัดให้หนัก มิฉะนั้น คนพวกนี้ ก็ไม่รู้ว่า ในระหว่างปืน หรือ ปากกา อย่างไหน? มีอิทธิพลสูงกว่ากัน
เอวัง ก็มีด้วยประการ ฉะนี้.
Friday, August 28, 2015
จากอดิศร เพียงเกษ ถึง วิษณุ เครืองาม!
ผมเป็นนักศึกษากฎหมายที่ธรรมศาสตร์ เป็นรุ่นน้องของ ดร.วิษณุ เครืองาม(นิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมดีมาก)) ดร. วิษณุ เป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาก ท่านจะเป็นติวเตอร์ให้แก่เพื่อนๆทุกๆวิชา ทุกชั้นปีที่ร่ำเรียนกันอยู่ นักศึกษาคนใดเตรียมตัวไม่พร้อมจะสอบในวิชาใด มาฟังดร.วิษณุ ติวให้ในห้องเลคเชอร์ใหญ่ มักจะสอบวิชานั้นผ่านไม่ยากนัก
ผมแอบชื่นชมยินดีกับความเก่งกาจของท่าน บางครั้งแอบเข้าไปฟัง โดยที่ยังไม่ได้เรียนวิชานั้นๆ เพราะกิตติศัพท์ความเก่งของ ดร.วิษณุ นั่นเอง
ท่านร่ำเรียนที่อเมริกาได้ทุนจากจุฬาฯจนจบปริญญาเอก มาสอนหนังสือใช้ทุนที่จุฬาฯ ไม่ไปเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการ
ตอนทำงาน ท่านยังเป็นมือกฎหมายที่เชี่ยวชาญในหลายๆองค์กร เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ส่วนผมเป็น สส. และเป็นรัฐมนตรีสี่ครั้งในสามรัฐบาล(ชวน- พลเอกชวลิต- ทักษิณ)
ผมเจอหน้าท่านผมเรียกอาจารย์ทุกคำทุกครั้ง เพราะผมแอบไปเป็นลูกศิษย์"ลักจำ"ของท่านดังกล่าว
ตอนปลายๆรัฐบาล"ท่านทักษิณ" ผมเริ่มเห็นอาการแปลกของ ดร.วิษณุ ท่านลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ดร. บวรศักดิ์ ก็ลาออกจาก เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
การเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลไปเรียนต่างประเทศถือว่า ได้ใช้เงินภาษีอากรของราษฎรไทย ส่งเรียนจนจบ
ไปเรียนที่ประเทศที่เขาต้องการ อิสรภาพ เสรีภาพ ภราดรภาพ เช่นอเมริกา ดร. วิษณุ ย่อมจะเข้าใจคำว่า"เสรีภาพ""อิสรภาพ""ภราดรภาพ"ในความหมายที่เป็นสากลได้ดีและเข้าใจอย่างถูกต้องด้วย
ไม่ทราบว่า ดร.วิษณุ คนที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี ของพวกรัฐประหารนี้ เป็นคนๆเดียวกับดร. วิษณุ ในอดีต ที่ผมรู้จักหรือไม่
ข่าวหนังสือพิมพ์บอกว่า ดร.วิษณุ ออกมาแถลงในเชิงห้ามปราม จะข่มขู่หรือไม่ ผมไม่ได้ดู
ว่า ถ้าใครใช้สื่อออนไลน์ ไม่ว่า จะเป็น ไลน์ เฟสบุ๊ค อินเตอร์เน็ทฯลฯ ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านร่างรัฐธรรมฉบับดร.บวรศักดิ์(ลูกพี่ลูกน้องที่ใกล้ชิดของท่าน) จะผิดหรือขัดต่อคำสั่ง คสช.(ที่แอบอ้างว่าเป็นกฎหมาย)
ผมเอาไม้มาแคะหู อ่านแล้วอ่านอีก ... เห้ย..ดร.วิษณุ. ไปไกลขนาดนั้นเหรอ
แถลงแทนพลเอกประยุทธ์ เลยเชียวหรือ
ผมไม่เชื่อว่า ดร.วิษณุ จะเชื่อว่า ร่างรัฐธรรมนูญนี้ วิจารณ์ไม่ได้ ออกความเห็นต่างไม่ได้
VOLTAIR(1694-1778/นักปรัชญา นักคิดนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศส แห่งศตวรรษที่ 18) เขียนไว้ว่า....
" I disapprove of what you say,but I will defend to the death your right to say it.
I detest what you write,but I would give my life to make it possible for you to continue to write."
...แปลเป็นไทยได้ความว่า...
"ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของท่าน แต่ข้าพเจ้าจะปกป้องสิทธิในการพูดของท่าน จนชีวิตข้าพเจ้าจะหาไม่"
"ข้าพเจ้าเกลียดชังสิ่งที่ท่านเขียน แต่ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเสียสละชีวิต เพื่อปกป้องเสรีภาพที่ท่านควรจะได้เขียนต่อไป"
อย่าปิดหู ปิดตา ปิดทวารของผู้อื่นเลย ให้เขาได้พูดเถอะ พวกท่าน(คสช.และบริวาร ทุกสาขา)ได้พูดมามากแล้ว
ปล่อยประชาชนพูดบ้างเถอะ เขาไม่กลัวท่านขู่หรอก
เอาวิษณุที่ธรรมศาสตร์ คืนมา
เอาวิษณุรัฐประหาร คืนไป...
จาก รศ. พิเศษ ดร.อดิศร เพียงเกษ
28 สิงหาคม 2558
นายทหารอากาศไทย ท่องซานฟราน ถูกปล้น (ข่าวนี้ ยังไม่เผยแพร่ในไทย)
ดร.เพียงดิน รักไทย ชวนคิดชวนคุย 29 ส.ค. 2558 ตอน ทำไมต้องให้ประชาชนลุกมาร่วมนำการปฏิวัติ
เปลี่ยนโหมด"ความรุนแรง"สู่..สุนทรีย์"มาลายู” (เครดิต จอม เพชรประดับ)
นายสุไลมาน เจ๊ะแม ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมมาลายูปาตานี ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia เพื่อเปิดโลกวัฒนธรรมาลายูปาตานีกับธรรมชาติอันเอกอุดมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่ามกลางความหวาดกลัว และวิตกกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัยว่า มาลายูปาตานี เป็นแหล่งวัฒนธรรมทีเป็นเอกลักษณ์เพราะผสมผสานด้วยวัฒนธรรมหลายเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ ทั้งจากในภูมิภาคเอเชียและยุโรป เพราะอาณาจักรปาตานีเดิมเป็นเมืองท่าที่สำคัญในภูมิภาคนี้เมื่อ 700 ปีที่แล้ว เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้คนในพื้นที่เกิดจิตสำนึกอนุรักษ์ ส่งเสริม และสานต่อวัฒนธรรมมาลายูกันเพิ่มขึ้น แต่คนภายนอกต่างหากที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับความงดงามทั้งธรรมชาติ และวัฒนธรรมของความเป็นมาลายูมุสลิม เรื่องราวนี้..จะเชิญชวนให้คนไทยทั่วประเทศและคนทั่วโลกเดินทางไปสัมผัสความงดงามของวัฒนธรรม และธรรมชาติแห่งความเป็นมาลายูในสามจังหวัดชายแดนใต้อย่างปลอดภัย
ทางออกประเทศไทย อ.ชูพงศ์ 28 ส.ค. 2558 บทบาทหลากหลายของขบวนประชาชน
สังคมชั้นสูงกับการเอาเปรียบสังคมรากหญ้า
Wednesday, August 26, 2015
ภูมิพล...ความรู้สึกคุณแม่ของศศิวิมล หลังศาลทหารพิพากษาจำคุก 28 ปี
เรตติ้งกระฉูดโดยไม่ต้องบังคับประชาชนทนฟัง 'ปิยบุตร'ชี้ รธน.ซ่อนรูปรัฐประหาร
คำพูดประยุทธ์ “คืนความสุขให้คนในชาติ” วันศุกร์ ที่ 21 สิงหาคม 2558
สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมได้เป็นประธานในพิธีบวงสรวงมหามังคลาภิเษกพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระ บูรพกษัตริย์แห่งสยาม ณ มณฑลพิธีอุทยานราชภักดิ์ ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งทางอุทยานฯ ก็ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเทิดทูนและประกาศเกียรติคุณพระมหากษัตริย์แห่ง สยาม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ได้ทรงสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติ
อุทยานฯ แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในพื้นที่ของกองทัพบกจำนวน 222 ไร่เศษ มีพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ 7 พระองค์ สร้างในพระอิริยาบถทรงยืน ความสูงประมาณ 13.9 เมตร หรือ 7.9 เท่าของคนจริง หล่อด้วยเนื้อสำริดนอก ประดิษฐานบนแท่นบนลานอเนกประสงค์ประมาณ 90,000 ตารางเมตร ซึ่งนับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ เพื่อเป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย หลังจากนี้แล้วจะเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมฟรีได้ทุกวัน สวยงาม น่าภาคภูมิใจ ผมขอเชิญชวนให้พ่อแม่พี่น้องหาโอกาสไปเยือน ไปพักผ่อน พาลูกหลานไปศึกษา เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติเรานะครับ
พ่อแม่พี่น้องชาวไทยครับ ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนจะต้องร่วมมือกัน สามัคคีกัน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เราได้ผ่านห้วงเวลาแห่งความเลวร้ายมาด้วยกัน เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม เป็นการกระทำของผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยม ไร้คุณธรรม ที่ต้องการสร้างความหวาดกลัว ทำลายความสงบสุขของพี่น้องประชาชน และภาพลักษณ์ของประเทศของเรา บ้านของเรา ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งอีกครั้งต่อครอบครัวของผู้สูญเสีย รัฐบาลยืนยันจะเร่งดำเนินการสืบสวน หาตัวผู้กระทำความผิด และขบวนการที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว ในปัจจุบันนั้นมีความคืบหน้าไปมากนะครับ ขอให้ประชาชนคนไทยทุกคน ทุกภาคส่วน มีความเชื่อมั่น และตั้งอยู่ในความมีสติ
ช่วงนี้หลาย ๆ ท่านคงได้เห็นข้อความต่าง ๆ ที่แสดงความเห็นห่วง เป็นกำลังใจ หรือแสดงพลังของคนไทย รวมถึงข้อความแคมเปญของรัฐบาล our home our country together stronger หรือเราจะเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน เพราะที่นี่คือประเทศของเรา บ้านของเรา ในสื่อต่าง ๆ นะครับ ทุกข้อความมีวัตถุประสงค์ที่ดี ใครอยากใช้ อันไหนก็ใช้ ไม่อยากให้ยกมาเป็นประเด็นให้ทะเลาะขัดแย้งกันอีกนะครับ เพราะจากนี้ไปเราต้องสามัคคีกัน จับมือกันเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า ความสามัคคีของคนไทยจะทำให้ประเทศของเราแข็งแกร่ง บ้านของเราแข็งแรง สามารถเติบโตและผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ได้ ใช้ได้ตลอดไปนะครับ ไม่ใช่แค่ช่วงนี้ ต่อไปเราคงต้องร่วมใจกันมากกว่าเดิม ช่วยเหลือกันทุกเรื่อง สามัคคีกันไว้ เราต้องสร้างประเทศด้วยมือของเราเอง ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีคนดี คนมีน้ำใจ มีคุณธรรมมากกว่าคนไม่ดี เราต้องช่วยกันเอาความดีชนะความไม่ดีให้ได้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมอยากขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกท่านให้ใช้วิจารณญาณในการส่งต่อ ข่าวสารข้อมูล รูปภาพผ่านโซเชียลมีเดียนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพความเสียหายสถานที่เกิดเหตุ รวมทั้งภาพผู้ได้รับบาดเจ็บ สูญเสีย เพราะนอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิ์ขั้นพื้นฐานแล้ว ยังเป็นการไม่ให้เกียรติ หรือซ้ำเติบกับคนเหล่านั้น รวมทั้งเป็นการขยายความรุนแรงขึ้นไปอีก
อีกประการหนึ่ง คือ ไม่ว่าจะเกิดเหตุรุนแรงใด ๆ เจ้าหน้าที่จำเป็นจะเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ให้ได้ กันประชาชน สื่อ ออกจากพื้นที่เกิดเหตุ ไปยังพื้นที่ปลอดภัย เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องของความปลอดภัย การเก็บวัตถุหลักฐานเพื่อนำไปสู่การสืบสวนสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ สิ่งที่พวกเราชาวไทยทุกคนสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือการช่วยประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ สิ่งที่ดีงามของประเทศเรา เพื่อเป็นกำลังใจให้คนไทยด้วยกันเอง และสร้างความเชื่อมั่น ความเข้าใจกับต่างประเทศ หยุดเลิกเผยแพร่ข่าวที่ทำให้เกิดความสับสน ตื่นตระหนก และการสร้างความแตกแยกในจิตใจของคนไทยด้วยกัน หลายท่านคงทราบแล้วว่า เรื่องที่สำนักข่าวเยอรมันแห่งหนึ่งได้เสนอข่าวเหตุระเบิดครั้งนี้ในเชิง สร้างสรรค์ ได้พูดถึงการแสดงถึงความมีน้ำใจของคนไทย ว่า ทันทีหลังจากเกิดการระเบิด ก็มีคนไทยแถวนั้นวิ่งไปช่วยคนเจ็บทันที ขณะเดียวกันก็มีคนไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทยเป็นจำนวนมาก เมื่อมีการประกาศหาล่ามภาษาจีน สำหรับสื่อสารแก่ผู้บาดเจ็บ ก็มีจิตอาสามาช่วยเป็นจำนวนมาก ส่วนวินมอเตอร์ไซค์แถวสี่แยกราชประสงค์เองก็เสนอรับ - ส่ง ผู้โดยสารฟรี นับเป็นเสียงสะท้อนจากชาวต่างชาติที่น่าภูมิใจถึงน้ำใจของคนไทยที่รัก สามัคคี และมีน้ำใจ พร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยังมีอีกหลายอย่างที่อาจจะพูดไม่หมด มีมากมายที่พี่น้องทุกคน ประชาชนทุกคน สามารถทำได้
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงพลังแห่งความสามัคคีของคนไทย ที่ต้องการเห็นความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง กลับคืนมาสู่บ้านเกิดของเรา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตัวต่อนักท่องเที่ยว ทำให้เขากลับไปบอกคนที่ประเทศเขาว่า ประเทศไทยนั้นน่าไปเที่ยว คนไทยน้ำใจดี มีน้ำใจที่เอื้ออาทร เหมือนกับที่นายโทนี แอ็บบอตต์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวในที่ประชุมรัฐสภา เชิญชวนให้ชาวออสเตรเลียเดินทางมาเที่ยวที่ประเทศไทยต่อไป อย่ายอมจำนนต่อผู้ใช้ความรุนแรง เนื่องจากผู้ที่วางระเบิดตามเมืองต่าง ๆ ที่มีผู้คนจำนวนมาก ทำเพื่อสร้างความหวาดกลัว ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้
ดังนั้น ประชาชนไม่ควรตกใจกลัวจนเกินไป หรือยอมถูกข่มขู่ด้วยการกระทำเช่นนั้น เราสามารถจะดำเนินชีวิตตามปกติ โดยเพิ่มความระมัดระวัง มีความช่างสังเกตมากขึ้น ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการแจ้งสิ่งที่ผิดปกติ ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นก็จะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะพยายามไม่เป็นที่เรียกว่า สังคมก้มหน้า คือ ช่วยกันเป็นหูเป็นตาดีกว่า เฝ้าระวังภัยสังคม ไม่ใช่ไม่สนใจ ก้มมองมือถือตลอดเวลา เห็นอะไรผิดปกติ สิ่งของที่ไม่มีเจ้าของวางทิ้งไว้ หรือคนที่ดูมีพิรุธ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีนะครับ เดี๋ยวเข้าไปตรวจสอบเอง
ด้านการช่วยเหลือเยียวยาและการจ่ายเงินช่วยเหลือ สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตชาวไทย กรุงเทพมหานครจะเป็นหน่วยงานที่รับแจ้งคำร้อง โดยจะประสานกับกระทรวงยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือเหยื่อชาวไทยตามสิทธิกฎหมายกำหนด สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วน 1111 สำหรับชาวต่างชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะให้การดูแลด้วยเงินจากกองทุนประกันภัยนักท่องเที่ยว ที่รัฐบาล หรือ คสช. จัดตั้งขึ้นมา 200 ล้านบาทนะครับ
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ติดต่อไปยังสถานทูตต่างๆ หรืออาจจะสามารถติดต่อได้โดยตรง สอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วน 1155 นะครับ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ โดยพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บ ในส่วนที่ไม่สามารถเบิกตามสิทธิ์ได้ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้องคมนตรีเชิญดอกไม้พระราชทาน ไปมอบให้แก่ผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย สำหรับผู้เสียชีวิตชาวไทยได้ทรงพระราชทานค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีศพรายละ 9 หมื่นบาทนะครับ
สำหรับชาวต่างประเทศที่บาดเจ็บ และเสียชีวิตนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เอกอัครราชทูต นำพระราชสาส์นแสดงความเสียใจ และดอกไม้ส่วนพระองค์ไปมอบให้นะครับ
ผมและรัฐบาลขอขอบคุณ และเป็นกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร แพทย์ พยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มแพทย์อาสาตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่เสียสละมาช่วยดูแลรักษาผู้บาดเจ็บตลอดทั้งคืนที่เกิดเหตุ และที่สำคัญ ขอขอบคุณประชาชนทุกคนนะครับ ที่แสดงออกถึงความรัก ความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในยามที่พี่้น้องร่วมชาติ และต่างประเทศต้องการความช่วยเหลือ และต้องขอขอบคุณในการแสดง ความเสียใจจากผู้นำประเทศหลายประเทศที่มีต่อรัฐบาล ต่อประชาชนคนไทย และประเทศไทยด้วยนะครับ ด้วยความรู้สึกที่รักสามัคคีนี้ รัฐบาล และ คสช. มั่นใจว่า เราจะสามารถผ่านช่วงเวลาฝันร้ายนี้ไปด้วยกัน เราจะเดินหน้าต่อไปไม่ยอมสะดุด หรือหยุดรออีกต่อไป เพราะประเทศไทยเรานั้นเสียเวลา เสียโอกาสมากแล้ว ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงในการทำหน้าที่คนไทยรักชาติไม่ยอมให้ใครทำลาย ทำร้ายแผ่นดินเกิดของเรา ร่วมกันต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยการแสดงความเข้มแข็งด้วยพลังสามัคคีช่วยประชาสัมพันธ์แคมเปญ สตรองเกอร์ ทูเกตเตอร์ การส่งต่อสัญลักษณ์ดังกล่าวนั้น ถือเป็นการแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน และเป็นการหยิบยื่นน้ำใจ เป็นการเติมกำลังใจให้ซึ่งกันและกันนะครับ
สำหรับนโยบายที่รัฐบาลนี้ และ คสช. ได้ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ คือ ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งมีผลดำเนินงานมาจนปัจจุบัน เป็นที่น่าพึงพอใจระยะแรก จากผลการสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น และดีที่สุดในรอบ 6 ปี สามารถช่วยให้รัฐบาลป้องกันสูญเสียเงินไปกับการคอร์รัปชันได้เกือบ 2 แสนล้านบาท เม็ดเงินงบประมาณโครงการต่าง ๆ ถึงมือประชาชนโดยตรง ไม่ผ่านขบวนการคอร์รัปชัน สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีประสิทธิภาพสูงสุด และคุ้มค่ามากที่สุด แต่ทั้งนี้ ก็มีการพูดให้ร้ายข้าราชการ รัฐมนตรี รัฐบาลในสิ่งที่ไม่อาจใช่ข้อเท็จจริง เพราะรัฐบาลนี้ไม่เปิดโอกาสให้มีการสำรองเกิดขึ้น ไม่มีการช่วยเหลือเป็นพิเศษใดๆ ทุกโครงการหากยังมีเล็ดรอดได้อยู่นั้น ขอให้แจ้งเบาะแสเพื่อตรวจสอบทันที
ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ปล่อยปละละเลยกับปัญหานี้มานาน ประชาชนเคยชินกับการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่มีความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีการปรับปรุงกฎระเบียบให้รัดกุม ไม่มีกลไกในการกำกับดูแลกิจการ การตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ปล่อยให้มีการให้สินบน สินน้ำใจของกำนัน รางวัลต่างๆ แก่เจ้าหน้าที่รัฐ หรือการจ่ายเงินให้ได้ผลประโยชน์ภายหลัง สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นมานานแล้ว เป็นปัญหาที่ทำลายชาติ ทำร้ายประชาชน ทำให้ประเทศไม่สามารถพัฒนาได้เท่าที่ควร ผลการสำรวจนี้ก็ถือเป็นกำลังใจสำคัญในการทำงาน และเป็นข้อมูลให้แก่รัฐบาลในการดำเนินนโยบายที่ชัดเจน ในการที่จะต่อต้านการคอร์รัปชันในทุกระดับ ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลยืนยันว่า จะเดินหน้าต่อต้านการคอร์รัปชันต่อไป เพื่อกำจัดสนิมเนื้อในที่กัดกินประเทศ ในช่วงนับสิบปีที่ผ่านมาให้ได้ โดยหวังว่าพี่น้องประชาชนคนไทยจะให้กำลังใจ และร่วมแรงร่วมใจกันกำจัดการคอร์รัปชันให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทยของเรา นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการวางรากฐานเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยจะไม่แก้ปัญหาในลักษณะที่ไม่สร้างควาเมข้มแข็งให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ ทิ้งมรดกหนี้ไว้ให้กับภาระลูกหลานต่อไป
สำหรับความคืบหน้าในการลงทุนให้อนาคต ที่สำคัญ ได้แก่ โครงการเกี่ยวกับเรื่องของการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมทางรถไฟ อาทิ โครงการรถไฟความเร็วปานกลางไทย - จีน 160 - 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทาง 873 กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างเป็น 4 ช่วง คือ กรุงเทพฯ - แก่งคอย 133 กิโลเมตร แก่งคอย - มาบตาพุด 246.5 กิโลเมตร แก่งคอย - นครราชสีมา 138.5 กิโลเมตร และนครราชสีมา -หนองคาย 355 กิโลเมตร จะให้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 3 ปีครึ่ง และจะเริ่มก่อสร้างช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ - แก่งคอย และช่วงที่ 3 แก่งคอย - นครราชสีมา ก่อน ภายในเดือนธันวาคม 2558 นี้
ด้านการลงทุน เป็นการร่วมลงทุนของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย ด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในลักษณะ Special Purpose Vehicle หรือ SPV ฝ่ายไทยถือหุ้นร้อยละ 60 ฝ่ายจีนถือหุ้นร้อยละ 40 ทั้งนี้ มีการประมาณการว่า จะมีการตอบแทนในอัตราทางเศรษฐกิจในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 14.99
สำหรับด้านงานก่อสร้าง จะใช้สัญญาก่อสร้างแบบ Engineering Procurement Construction หรือ EPC ฝ่ายจีนรับผิดชอบด้านการสำรวจ ออกแบบก่อสร้าง ฝ่ายไทยจะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบแบบ ราคาก่อสร้าง และความเหมาะสมของราคา ก่อนจะมีการลงนามในสัญญางานก่อสร้างทั้งหมด
ต่อไปก็คือด้านการลงทุนและงานโยธา ฝ่ายไทยจะเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุนเอง ดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างไทยก่อสร้างเองในงานชั้นฐาน ที่เป็นทางราบ อาคาร ส่วนงานเจาะอุโมงค์ งานก่อสร้างชั้นฐานทางไหล่เขา ฝ่ายจีนจะเป็นผู้ดำเนินการ งานระบบอาณัติสัญญาณ งานจัดหาและติดตั้งตัวรถ ตลอดจนอุปกรณ์เดินรถ และซ่อมบำรุง
สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงมีจำนวน 3 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 672 กิโลเมตร ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการศึกษา มีแผนการดำเนินการวางไว้แล้ว ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการร่วมสำรวจและออกแบบ
สำหรับอีก 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ - ระยอง 193.5 กิโลเมตร และกรุงเทพฯ - หัวหิน 211 กิโลเมตร มีความคืบหน้า ดังนี้ ด้านการลงทุน จะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน โดยการรถไฟฯ อยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอรายงานผลการศึกษา เสนอต่อกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของ ครม. เพื่ออนุมัติโครงการ ก่อนเปิดให้ภาคเอกชนที่สนใจยื่นข้อเสนอต่อไป ด้านการใช้ประโยชน์ที่จะได้รับ คาดว่าระยะแรกจะทำให้มีผู้โดยสารเปลี่ยนมาเดินทางในระบบรถไฟเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ สามารถเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งเสริมการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศแล้ว ที่เรามีโครงการจัดทำโครงข่ายเส้นทางไทย - ลาว - จีน ยังเป็นการสร้างความมั่นคง และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างยั่งยืนด้วย เป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน สามารถลดต้นทุนการขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการ และช่วยในการกระจายความเจริญจากกรุงเทพฯ ไปสู่ภูมิภาคอีกด้วย โดยทั้งหมดนี้ผู้นำของแต่ละประเทศ ผมได้ปรึกษาหารือกันแล้ว จัดทำแผนเรียบร้อยแล้ว ที่จะเชื่อมโยงกันอย่างไรในทั้งถนน และทางรางนะครับ ทุกประเทศได้มีการหารือร่วมกันจัดทำแผน สรุปมาได้ชัดเจน มีแผนการดำเนินการที่เห็นชอบทุกอย่างนะครับ อยู่ที่ว่ามันจะดำเนินการได้อย่างไร หาทุนก่อสร้างได้ที่ไหน และจะร่วมมือกันอย่างไร วิธีการต่างๆ มันมีรายละเอียดทั้งหมดนะครับ ไม่ใช่ว่านึกจะสร้างก็สร้าง สร้างง่าย ๆ และก็เป็นภาระมาก ๆ ความคุ้มทุน ความคุ้มค่ามันไม่เท่าที่ควร เหล่านี้มันต้องพิจารณานะครับ
เพราะฉะนั้นหลายคนก็ใจร้อน บอกว่าประกาศมาปีเกือบจะ 2 ปีกว่าแล้ว ไม่เห็นสร้างสักที ก็ปัญหาที่นี่เจรจามา 6 ครั้งแล้ว และต่อไปต้องมาดูในเรื่องของการทำอีไอเอ ประชาพิจารณ์ ประชาชนที่บุกรุกเส้นทาง เดิมอยู่แล้วทำอย่างไร ก็สร้างในแนวทางเดิมเกือบทั้งหมด มีบางเส้นที่สร้างใหม่เท่านั้น ปรากฏว่าในเส้นทางรถไฟเดิมก็มีประชาชนที่ยังบุกรุกอยู่ และเขาก็เดือดร้อน เขาไม่ยอมให้เราสร้าง นี่แหละครับต้องช่วยกัน ไม่อย่างนั้นมันเกิดอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น เดี๋ยวรัฐบาลจะดูแลให้หาที่อยู่ที่อาศัยให้ และหาประโยชน์ที่จะได้รับในการที่จะค้าขายอะไรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เขาเคยอยู่มาก่อน ทั้ง ๆ ที่ผิดกฎหมาย ผมย้ำตรงนี้เอาไว้หน่อย
สำหรับในเรื่องของการนโยบายที่จะสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจเอสเอ็ มอี พูดมาเยอะแล้ว รัฐบาลนี้ทำทุกอย่างเลยนะครับ ทั้งกฎหมาย ทั้งการจัดกลุ่มเอสเอ็มอี ทั้งการจัดหากองทุน ทั้งการให้ความรู้ Matching ต่าง ๆ ทั้งหมด และเริ่มให้มีตลาดกลางของประชาชนในท้องถิ่นตามโมเดลของตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาลนะครับ ปัจจุบันได้รับการเรียกร้อง ผมให้ขยายผลไปสู่การจัดตลาดสี่มุมเมืองที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ที่ตรงกรมโยธาฯ นั่นแหละ จุดที่สอง ก็ อ.ต.ก. สุวรรณภูมิ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร จุดที่สาม คือ คลองหลวง สำนักงานสหกรณ์ จ.ปทุมธานี และถนนอุทยานฯ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกร และกลุ่มเกษตรกร ได้มีพื้นที่จัดแสดงและจำหน่ายสินค้า นำสินค้าดีมีคุณภาพให้เป็นที่รู้จัก และจำหน่ายถึงมือผู้บริโภคโดยตรงในราคายุติธรรม รวมทั้งส่งเสริมการขายของกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม เป็นเวทีแลกเปลี่ยนพบปะระหว่างผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้บริโภค แหล่งเงินทุน โดยมุ่งหวังให้กิจกรรมดังกล่าวเป็นความสุขในการจับจ่ายสินค้าปลอดภัยผู้ บริโภค โดยนำร่องด้วยตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ปากเกร็ด ระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม ถึง 16 กันยายน 2558 ช่วงเวลา 10 โมงเช้า ภายในงาน นอกจากจะมีการจำหน่ายสินค้าปศุสัตว์ สินค้าทั่วไป ยังมีการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าโครงการหลวง โครงการพระราชดำริ โครงการศิลปาชีพด้วย และสำหรับตลาดคลองผดุงกรุงเกษม อ.ต.ก. สุวรรณภูมิ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร มีกำหนดจัดขึ้นเดือนหน้า ระหว่างวันที่ 4 - 20 กันยายน 2558
อย่างไรก็ตาม อาจมีการกล่าวถึงในสื่อว่ารัฐบาลไม่จริงใจในการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งไม่เป็นธรรมกับเรามากนัก เพราะเราทำกันเยอะแยะ เพียงแต่เวลามันรวดเร็วมากไม่ได้ หลายท่าน ผมอยากถามเอสเอ็มอี ที่บ่นว่ารัฐบาลไม่ดูแลนั้น เขาชี้แจงหรือเปล่าว่าท่านอยู่ในหลักเกณฑ์หรือไม่อย่างไร อย่าไปบ่นข้างนอก และไม่มาหาเรา บางครั้ง ผมตรวจสอบหลายครั้ง ยืนยันว่า หลายเอสเอ็มอีไม่เข้าเกณฑ์ ไม่มีความมั่นคง ไม่มีศักยภาพเพียงพอ เพราะฉะนั้นการให้ความช่วยเหลือไปจะสูญเปล่า หนี้สูญเยอะแยะ
เพราะฉะนั้น ต้องร่วมมือกันนะครับว่าทำยังไง ต้องฟัง ถ้าเขาให้ปรับเปลี่ยนยังไง ถ้ากู้ได้ ต้องปรับเปลี่ยน ไม่งั้นทุกคนอยากทำอะไรก็ทำทั้งหมด ถ้าทำอย่างนั้นก็ขายได้แค่นั้น แล้วเงินทุนเราก็ให้ไม่ได้ มันต้องมีกติกา ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องให้ได้ทั้งหมด ใครไม่ได้ก็โวยวาย เป็นซะแบบนี้ ทุกเรื่องเลย ประเทศไทย ใครได้ก็ไม่บ่น ใครไม่ได้ก็บ่น ร้องเรียน ร้องทุกข์ ทำให้มันวุ่นวายไปหมดทุกเรื่องเลย วันนี้เอสเอ็มอีเราได้จัดกลุ่มไว้ 3 - 4 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มไหนให้ก่อน กลุ่มไหนให้หลัง ถ้าหากว่าเรารู้ตัวเอง โดยการประเมินของส่วนราชการ ก็ให้เขาประเมินมา แล้วท่านก็ปรับปรุงตัวของท่านเอง แล้ววันหน้าเขาก็ให้ท่านได้ เกิดความมั่นใจ เชื่อมั่นขึ้นมา ถ้าหากว่าเราให้ทุกพวกทุกกลุ่ม ทั้งมีศักยภาพ ไม่มีศักยภาพ แล้วรัฐจะเอาเงินจากที่ไหน มันตั้งมากมาย 2 ล้านแห่ง 2,600,000 แห่ง ตัวเลขกลม ๆ นะ
สำหรับนโยบายสร้างความเข้มแข็งภาคครัวเรือน และวินัยการออมนั้น รัฐบาลได้จัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ กอช. ที่ได้เปิดตัว เปิดรับสมัครไปแล้วเมื่อวานนี้ วันที่ 20 สิงหาคม มีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก โดยมีสมาชิกคนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า รอการจัดตั้งของตัวเองขึ้นมา 10 ปีแล้ว ดีใจที่รัฐบาลนี้ทำได้สำเร็จ มันก็เป็นสิ่งที่พวกเราภาคภูมิใจ และดีใจ เราก็พยายามจะทำให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะต้องรอกฎหมายลูกด้วย พ.ร.บ. มีมานานแล้ว
ฉะนั้น กองทุนนี้เป็นกองทุนการออมเพื่อผลระยะยาวสำหรับภาคประชาชน และช่วยเหลือประชาชนที่มีอาชีพอิสระ ไม่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญ ได้สร้างหลักประกันหลังเกษียณของตัวเอง โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 25 ล้านคนทั่วประเทศ ทั้งนี้ จุดเด่นของ กอช. ก็คือ เป็นการออมโดยความสมัครใจ มีความยืดหยุ่นในการออม สมาชิกได้รับคืนเงินทุกบาททุกสตางค์ หากเสียชีวิตก่อนเงินในบัญชีจะหมด เงินสะสมและเงินสมทบทั้งหมดจะโอนให้ทายาท และรัฐบาลรับประกันผลตอบแทน ไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 12 เดือน และได้รับบำนาญตลอดชีวิต แม้ว่าเงินสนับสนุนจะหมด เงื่อนไขการสมัครติดต่อได้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ทุกสาขา ใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว รัฐบาลก็มีภาระอยู่แล้วในการที่จะจ่ายสมทบให้ตามสัดส่วนของอายุผู้สมัคร ซึ่งก็เป็นเงินที่มากพอสมควร ไม่เป็นไร รัฐบาลก็ต้องพยายามทำเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เพื่อจะได้มีเงินมาดูแลพ่อแม่พี่น้อง สมทบไปด้วย ถ้าทุกคนร่วมกัน มีจิตสำนึกการมีส่วนร่วมแบบนี้ ทุกอย่างมันไปได้ดีหมด ในเรื่องกิจการอื่นด้วยก็ตาม และเรื่องของกองทุนนี้ เราก็สามารถนำไปประกอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และกลับมาเป็นเงินหมุนเวียนสมทบไปเรื่อยๆ จะได้ลดภาระงบประมาณของรัฐบ้าง
การที่ประเทศไทยของเราจะพัฒนาต่อไปได้นั้น ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถในระบบวิจัยและพัฒนาของประเทศ ผมก็อยากเห็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ กับภาคเอกชน มีเพิ่มมากขึ้น โดยพิจารณาจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละภาคส่วน นำมาบูรณาการร่วมกันเพื่อการวิจัยและพัฒนา หานวัตกรรมใหม่ๆ ต่อยอดสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพ ให้นำไปสู่การผลิตและใช้ได้ทั้งในและต่างประเทศ
ผมเองนั้นเชื่อว่าประเทศไทยมีขีดความสามารถ มีบุคลากร มีทรัพยากรที่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้การวิจัยและพัฒนาของประเทศได้เกิดขึ้น ในทุกด้าน โดยรัฐบาลนี้ยินดีที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ หลายรูปแบบด้วยกัน มีการปรับกฎระเบียบ ให้หน่วยงานสามารถจัดหาของที่ผลิตในประเทศนี้ได้เอง กำหนดมาตรฐานให้ชัดเจน มีประมาณเกือบ 100 อย่างแล้วในขณะนี้ ที่สามารถผลิตจำหน่ายได้ ก็ขอให้นำมาใช้ ช่วยกันก็แล้วกัน
สัปดาห์นี้ผมมีเรื่องเรียนชี้แจงกับพี่น้องประชาชนเพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนมีสติ ทำหน้าที่ของตน ร่วมแรงร่วมใจ สามัคคีกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยของเรา ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
ประวัติชั่วๆ โดยย่อ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ประวัติชั่วๆ โดยย่อ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
เผื่อท่านใดยังไม่ได้อ่าน
Credit:กูต้องได้ 100 ล้าน จากทักษิณแน่ๆ
ป๋าเปรม บอกอยากให้สร้างคนดี
ขอเชิญทำความรู้จักคน(อ้าง)ดี ที่ชื่อเปรม
ว่าแท้จริง "ดี" หรือ "เหี้ย"
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
1)
ในหลวงภูมิพล โปรดเกล้าฯ ให้นายก เกรียงศักดิ์ และพลเอกเปรม เข้าเฝ้าฯที่เชียงใหม่ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2523
ในวันถัดมา นายก เกรียงศักดิ์ ก็ ลาออก
มรว.คึกฤทธิ์ ต้องเรียกประชุมสภา เพื่อสนับสนุนพลเอกเปรมเป็นนายกฯ โดยพลเอกเปรมได้กล่าวคําปฎิญาณ ในการรับตำแหน่งในวันที่ 3 มีนาคม 2523 ว่า
"ตนเป็น รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
พลเอกเปรมเข้าใจดีว่า พระเจ้าอยู่หัวไม่มีพระราชประสงค์ที่จะบริหารราชการแผ่นดินแบบวันต่อวัน แต่ทรงต้องการให้มีคนที่ไว้ใจได้คอยรับสนองพระบรมราชโองการหรือพระราช ประสงค์เป็นครั้งคราวเท่านั้น
และนับจากวันนั้นเอง ที่พลเอกเปรมได้เปิดศักราชใหม่
ของการประจบประแจงเทิดทูนวัง
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
2)
พลเอกเปรมได้กล่าวคําปฎิญาณ
ในการรับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี
ในวันที่ 3 มีนาคม 2523 ว่า
"ตนเป็น รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
และเป็นที่ทราบกันดีในตอนนั้นว่า พลเอกเปรมได้รับการสนับสนุนจากวังและบ่อยครั้งที่วังแทรกแซงหรือมีส่วนร่วม ในการบริหารประเทศผ่านทางพลเอกเปรม รวมถึงตัวพลเอกเปรมก็ไม่มีความเหนียมอายแม้แต่น้อยที่จะเอาหลังพิงวัง
ดังนั้น การบริหารราชการของพลเอกเปรม
จึงมีแต่การเล่นพรรคเล่นพวกที่ประจบเอาใจวัง
ซึ่งในตอนนั้น ทำให้กองทัพเต็มไปด้วยการแบ่งพรรคแบ่งพวก
ผนวกกับทำให้ทหารมีความหย่อนยานทางวินัย
ประกอบกับจากสถานการณ์ทางการเมืองที่สั่นคลอนมาตั้งแต่ช่วง 2519 รัฐบาลจึงไม่มีเสถียรภาพและมีหลายครั้งที่ปั่นป่วนรุนแรง ทั้งในสภาและนอกสภา ทั้งในป่าและในเมือง ตอนนั้น พลเอกเปรมได้ขยายอำนาจทางทหารในรูปของคำสั่งนายกรัฐมนตรี 66/2523 และ 65/2525 เปลี่ยนนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ขนานใหญ่ ทำให้กองทัพมีบทบาทครอบงำการบริหารประเทศ มีอำนาจเหนือรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
*ข้อมูลประกอบ 66/2523
1) http://th.wikipedia.org/…/คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่_66/2523
- ชิ้นนี้เป็นเพียงภาพรวมคร่าวๆ ไม่มีรายละเอียดอะไรประกอบมาก จุดที่อยากชี้ให้เห็นคือ รัฐบาลนายกธานินทร์ กรัยวิเชียร ที่ขึ้นมาเป็นนายกหลังจากเหตุการณ์ฆ่าประชาชน 6 ตุลา 2519 (สงัด ชลออยู่ รัฐประหารเสนีย์ ปราโมช) แต่ที่น่าคิดคือ ในยุคของ ธานินทร์ มีการใช้นโยบายทหารเข่นฆ่าประชาชน คนนักศึกษาจำนวนมากต้องหนีเข้าป่า - และหลังจากนั้น ธานินทร์ ผู้ดำเนินนโยบายอย่างกราดเกรี้ยว กลับได้ไปเป็นองคจมนตรี
2) http://politicalbase.in.th/index.php/คำสั่ง_66/2523
- อ้างอิงถึงความเกี่ยวข้อง ระหว่าง พล.อ.สายหยุด และ พล.ท.เปรม ในขณะนั้น ตอนนั้น ชวลิต เป็น พันเอก และทำให้เห็นเส้นทางของพล.อ.เปรม ว่ามีการก้าวกระโดอย่างมาก ดังนี้
- เส้นทางของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็ต้องเริ่มต้นจากเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2517 ที่ได้รับแต่งตั้งจากผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2
- เดือนตุลาคม 2518 เป็น พล.ท.เปรม ติณสูลานนท์ แม่ทัพภาคที่ 2
- เดือนตุลาคม 2519 เลื่อนขึ้นครองยศเป็น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
และภายหลังรัฐประหารเดือน ตุลาคม 2520 ก็ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
- เดือนตุลาคม 2521 ขึ้นเป็น ผู้บัญชาการทหารบก (ด้วยเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น จาก ผช.ผบ.ทบ.มาเป็น ผบ.ทบ.เส้นใหญ่ไหมล่ะ แหม่ แล้วทำมาอ้างหาคนดี ไอ้เฒ่าทวารบานเอ๊ย มึงนี่แหละตัวที่อิงแอบกับอำนาจของระบบอุปถัมภ์)
- เดือนพฤษภาคม 2522 ภายหลังการเลือกตั้ง เดือนเมษายน 2522 เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
- 29 เดือนกุมภาพันธ์ 2523 พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลาออก
(28 ก.พ.เข้าเฝ้าในหลวง พร้อมพลเอกเปรม วันถัดมาลาออก หมายความว่าอะไร ไม่เข้าใจ)
- 3 เดือนมีนาคม 2523 พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ควบ 3 ตำแหน่ง คือ นายกรัฐมนตรี / รมว.กห. และ ผบ.ทบ. Idol ของประยุทธ์ พวกที่อ่านมาถึงตรงนี้นี่ ยังคิดอีกไหม ว่าเปรมเป็นคนดี)
วันที่ 23 เมษายน 2523 คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 จึงประกาศออกมา
3) https://www.facebook.com/notes/213731458651411/
- ชิ้นนี้กล่าวถึง นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร คนต้นคิดนโยบาย 66/2523 ร่วมกับเปรม และสายหยุด ที่เตะตานิดหน่อย คือ ตอนจบของบทความ ดังนี้ วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2537 นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร "ถึงแก่กรรมอย่างกระทันหันชนิดที่ไม่มีใครคาดฝัน" ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าเขาถึงแก่กรรมเพราะโรคเส้นโลหิตในหัวใจตีบตัน อายุ 81 ปี
- ตายแบบไม่คาดฝันแบบเดียวกับ กฤษณ์ สีวะราเลยเนาะ / ถ้ากฤษณ์ สีวะราไม่ตาย มีหรือเปรมจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ คิดดูดีๆ ละกันนะ ฝากไว้ให้ใคร่ครวญ
- กฤษณ์ สีวะรา (ย่อ) ก่อนตุลา 19
https://www.facebook.com/secret100million/posts/283781131820090
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
3)
พลเอกเปรมเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2523
โดยควบตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม และ ผบ.ทบ.
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควร แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดเกล้าฯ
(ประยุทธ์ ก็เป็น หน.คสช. นายกรัฐมนตรี และ ผบ.ทบ.)
พลเอกเปรมจะเกษียณจากทหารเมื่ออายุ 60 ในเดือนตุลาคมปีนั้น (2523) แต่พอปลายสิงหาคม 2523 นายทหารที่นำโดย พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก ดาวรุ่งและคนโปรดของพระราชินีสิริกิติ์ เรียกร้องให้ต่ออายุราชการของพลเอกเปรม
ในวันที่ 1 กันยายน 2523 พลเอกเปรมก็กลับออกมาจากการเข้าเฝ้าในหลวง
และ "พล.อ.เปรม" เป็นผู้ประกาศว่า "พระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนการต่ออายุราชการให้ตน" เมื่อรัฐมนตรีเรียกร้องขอข้อพิสูจน์ พวกเขาก็ถูกเรียกให้เข้าเฝ้าในหลวง แล้วพวกเขาก็กลับออกมา และสนับสนุนการต่ออายุราชการให้พลเอกเปรม
4)
เศรษฐกิจช่วงนั้นเกิดภาวะถดถอย หลังจากพลเอกเปรมเป็นรัฐบาลไม่ถึงปี พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลก็เริ่มโวยวาย แถมมีเรื่องทุจริตอื้อฉาวหลายกรณี และพลเอกเปรมจะขอต่ออายุราชการในฐานะ ผบ.ทบ. อีกปีหนึ่ง (อันนี้ประยุทธ์ ไม่เจริญรอยตาม เพราะรู้แล้วว่า หากแก่ตัวไป คนด่าทั้งบ้านทั้งเมืองจะลำบาก รังจะกลายเป็นเหี้ยประดับแผ่นดินเสียอีกตัว)
เมื่อต้นปี 2524 รัฐมนตรีหลายคนลาออก มรว.คึกฤทธิ์ ก็ถอนพรรคกิจสังคมออกจากการร่วมรัฐบาล แต่พลเอกเปรมดึงพรรคการเมืองปีกขวา-และพวกทหารเข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล ให้ พล.ต.สุตสาย หัสดิน เจ้าพ่ออันธพาลกระทิงแดงกับ พล.อ. ประจวบ สุนทรางกูร เป็นรัฐมนตรี
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
สายสัมพันธ์ เปรม - สุตสาย ผีกระหายเลือดตุลา ในร่างประธานองคมนตรี
https://www.facebook.com/secret100million/posts/284094118455458
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ประวัติช่วงหนึ่งของเปรม (สั้นๆ) พล็อตที่ไม่ต่างจากเดิม
https://www.facebook.com/secret100million/photos/a.219472928250911.1073741828.128043194060552/284096701788533
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
กอ.รมน. ความมั่นคงเพื่อเข่นฆ่าประชาชน
https://www.facebook.com/secret100million/posts/283777875153749
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ในตอนหน้า เดี๋ยวจะมาเล่าต่อเรื่อง "กบฏเมษาฮาวาย"
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
และจุดเริ่มต้นอำนาจอันแสนเลวทราม
ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ตามกูได้เคยสัญญาไว้ว่า
กูจะเขียนประวัติ พล.อ.เปรม อีกด้านหนึ่ง
ให้ทุกท่านได้อ่าน และศึกษา
เป็นวิชาประวัติศาสตร์ นอกแบบเรียน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ถ้าคนแชร์น้อย ว่าจะไม่เล่าแล้วเนี่ย
รายงานข่าวจากอเมริกา ชี้กงสุลใหญ่แอลเอ ใช้อำนาจมิชอบ ก้าวล่วงสิทธิของพลเมืองไทยในอเมริกา
นี่คือ ภาพรองกงสุล สรศักดิ์ สมรไกรสรจักร จากสถานกงสุลใหญ่แอลเอ ที่สนับสนุนให้คนของสมาคมไทยซานฟรานฯ กระทำการขู่อาฆาตด่าทอใครก็ได้ ที่เขาคิดว่าเป็นผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลพิเศษชุดปัจจุบัน ตามคำสั่งของคนข้างบน เป็นความจริง ว่า มีผู้ใช้อำนาจปกครองในทางมิชอบ ปราศจากเหตุผลที่ชอบธรรม มีกลุ่มบุคคล องค์กรต่างๆ นำพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงราชินี มาใช้บีบบังคับ และกดดันประชาชนให้ตกเป็นทาส และเป็นเหยื่อ โดยหน่วยราชการสนับสนุน ให้ประชาชนต้องพบความเดือดร้อน กระทรวงการต่างประเทศ ใช้อำนาจผิดทาง ทำร้ายสังคมในต่างแดนให้เกิดความวินาศอัปปาง โดยอำพรางตนอยู่หลังทรชน กับเครือข่ายที่ย้ำยีจิตใจคนไทย คนในสังคมมีจำนวนหลายแสนคนในแคลิฟอร์เนีย แต่นำคนเพียงไม่ถึงร้อยคน ออกมาสร้างภาพหลอกหลอนมายาว่าจงรักภักดี แต่แท้ที่จริงนั้น เป็นการก้าวล่วงสิทธิมนุษยชน และกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายสหรัฐ ขอให้องค์กรของคณะราษฎร จงประสบความสำเร็จในการต่อสู้เพื่อความเที่ยงธรรม สังคมไทยและประเทศชาติ จะได้รอดพ้นจากอุ้งมือโจรและประชาชนมีเสรีภาพแท้จริง บนผืนแผ่นดินอเมริกา รัฐบาลไทยไม่มีอำนาจใดๆที่จะว่าจ้าง จ้างวานคนพาลราวี อิสระภาพของผู้อื่น เป็นการกระทำที่โฉดชั่ว และขอให้มดแดงทุั้งหมดจงระวังตนไว้ เมื่อมันเริ่มแผนการกำจัดคนที่ยืนอยู่กับความถูกต้องและประโยชน์ของประชาชน หมายความว่า กลไกของราชการในตปท.กำลังจะทำลายความหวังประชาธิปไตย
Wanchalearm Satsaksit สรุปใจความสำคัญ ร่าง รธน.เห็บหมา22สิงหาคม 2558ที่ร่างโดย คณะเห็บหมา สปช.
Wanchalearm Satsaksit สรุปใจความสำคัญ ร่าง รธน.เห็บหมา22สิงหาคม 2558ที่ร่างโดย คณะเห็บหมา สปช.
วัฒนา ถึงประยุทธ์ "คุณต่างหากที่ควรหยุดพล่าม" (exclamation)
วัฒนา ถึงประยุทธ์ "คุณต่างหากที่ควรหยุดพล่าม" (exclamation)
Wanchalearm Satsaksit สรุปใจความสำคัญ ร่าง รธน.เห็บหมา22สิงหาคม 2558ที่ร่างโดย คณะเห็บหมา สปช.
ด่วนที่สุด ..ภัยข่าวร้ายทางการเงิน ! คนไทยต้องอ่าน+++
Tuesday, August 25, 2015
คณะปล้นอำนาจจากประชาชน ไม่ใช่รัฏฐาธิปัตย์
คนไทย ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ ยังต้องผ่านบทเรียนกฏหมาย จากต่างชาติ ผู้ลงทุนรายใหญ่ในประเทศนี้ อีกมากมาย หากยังไม่เลิกแนวคิด แบบไดโนเสาร์ เต่าล้านปี
๑. วันนี้โลกในปัจจุบัน เปลี่ยนไปมาก
๒.แต่คนส่วนใหญ่ตรงเส้นรุ้ง ตัดกับ เส้นแวงตรงนี้ ก็ยังไม่มีวี่แวว จะเปลี่ยนในด้านความคิด
๓. นั่นก็คือเรา จะต้องรอให้โลก ใช้ปฏักแทงหลังเรา โดยคนต่างชาติ
๔. การที่ประเทศไทย ไปลงนามและให้สัตยาบัน ต่อ (สนธิสัญญา ปราบปรามการคอร์รัปชั่น) Convention against Corruption, 2003 ในวันที่ ๑ มีนาคม ปีค.ศ.๒๐๑๑ หรือ ปีพ.ศ.๒๕๕๔
๕. โดยผลของสนธิสัญญา ฉบับนี้ ทำให้การรัฐประหาร และยึดอำนาจ ไม่เกิดความชอบธรรมตามกฏหมาย อีกต่อไป ไม่ว่าในระบบกฏหมายใดๆ
๖. แต่ ก็ยังได้ยินเสียง ที่ออกมาจากปาก นักกฏหมายบางคน ที่เถียงว่า " คณะผู้ยึดอำนาจ เป็น อธิปัตย์" ผมก็ไม่รู้ว่า คำว่า "อธิปัตย์" ที่เขาต้องการ "ได้มา" หรือ "ให้เป็น" นั้น เขาเอากฏหมาย ตัวไหน มารองรับ
๗. ทั้งๆที่ไม่มีอยู่ ในตำรากฏหมายร่วมสมัย (Contemporary Text Book in learning Laws)
๘. และแถม ก็ยังไม่มีอยู่ ในภาคปฏิบัติของ กฏหมายใดๆ ในโลกด้วย แม้แต่ ระบบกฏหมายกะเหรี่ยง ก็ไม่มี
๙. ผมก็ไม่รู้ว่า คนพูด ที่ไปเรียนกฏหมายจบ มาจากต่างประเทศ เป็น "ผู้ทรงภูมิรู้" หรือ "ทรงภูมิไม่รู้" กันแน่
๑๐. และคนไทย ก็เชื่อกันแบบฝังหัว จนบ้านเมืองนี้ ป่นบี้ยี้ยับ ในวันนี้.
คุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของแลนด์แอนด์เฮาส์พูดดี 11 นาที ได้เนื้อหาและแรงบันดาลใจยิ่ง
รายงานข่าวจากอเมริกา ชี้กงสุลใหญ่แอลเอ ใช้อำนาจมิชอบ ก้าวล่วงสิทธิของพลเมืองไทยในอเมริกา
ขอเป็นกำลังใจให้กับ คณะราษฎรเพื่อสาธารณรัฐสยาม
นี่คือ ภาพรองกงสุล สรศักดิ์ สมรไกรสรจักร จากสถานกงสุลใหญ่แอลเอ ที่สนับสนุนให้คนของสมาคมไทยซานฟรานฯ กระทำการขู่อาฆาตด่าทอใครก็ได้ ที่เขาคิดว่าเป็นผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลพิเศษชุดปัจจุบัน ตามคำสั่งของคนข้างบน เป็นความจริง ว่า มีผู้ใช้อำนาจปกครองในทางมิชอบ ปราศจากเหตุผลที่ชอบธรรม มีกลุ่มบุคคล องค์กรต่างๆ นำพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงราชินี มาใช้บีบบังคับ และกดดันประชาชนให้ตกเป็นทาส และเป็นเหยื่อ โดยหน่วยราชการสนับสนุน ให้ประชาชนต้องพบความเดือดร้อน กระทรวงการต่างประเทศ ใช้อำนาจผิดทาง ทำร้ายสังคมในต่างแดนให้เกิดความวินาศอัปปาง โดยอำพรางตนอยู่หลังทรชน กับเครือข่ายที่ย้ำยีจิตใจคนไทย คนในสังคมมีจำนวนหลายแสนคนในแคลิฟอร์เนีย แต่นำคนเพียงไม่ถึงร้อยคน ออกมาสร้างภาพหลอกหลอนมายาว่าจงรักภักดี แต่แท้ที่จริงนั้น เป็นการก้าวล่วงสิทธิมนุษยชน และกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายสหรัฐ ขอให้องค์กรของคณะราษฎร จงประสบความสำเร็จในการต่อสู้เพื่อความเที่ยงธรรม สังคมไทยและประเทศชาติ จะได้รอดพ้นจากอุ้งมือโจรและประชาชนมีเสรีภาพแท้จริง บนผืนแผ่นดินอเมริกา รัฐบาลไทยไม่มีอำนาจใดๆที่จะว่าจ้าง จ้างวานคนพาลราวี อิสระภาพของผู้อื่น เป็นการกระทำที่โฉดชั่ว และขอให้มดแดงทุั้งหมดจงระวังตนไว้ เมื่อมันเริ่มแผนการกำจัดคนที่ยืนอยู่กับความถูกต้องและประโยชน์ของประชาชน หมายความว่า กลไกของราชการในตปท.กำลังจะทำลายความหวังประชาธิปไตย
เพิ่มเติม...
อ. นิธิ กับบทวิเคราะห์ทางสู่ก้นเหวของไทย
รัฐธรรมนูญ..‘ระเบิดเวลา’!‘สุดารัตน์’วอนเร่งปลดสลัก : สัมภาษณ์พิเศษ โดยประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี
รัฐธรรมนูญ..'ระเบิดเวลา'!'สุดารัตน์'วอนเร่งปลดสลัก : สัมภาษณ์พิเศษ โดยประพันธ์ จินดาเลิศอุดมดี
สถานการณ์ทางการเมืองที่เข้มข้นทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใกล้เข้าสู่วันลงมติร่างรัฐธรรมนูญของสภาปฏิรูปแห่ง ชาติ ประเด็นต่างๆ กลายมาเป็นเรื่องร้อน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาภายในร่างฯ หรือข้อเสนอรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษเครือเนชั่นถึงประเด็นร้อนต่างๆ ทางการเมือง
เริ่มจากการออกตัวสัมภาษณ์ในครั้งนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ขอพูดในนามของประชาชนเต็มขั้น ซึ่งรู้สึกว่าร่างรัฐธรรมนูญที่แถลงออกมานั้น หากนำออกมาใช้จริงน่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่สามารถนำพาประเทศชาติออกจากหลุม ดำได้อย่างที่โฆษณาชวนเชื่อไว้ แถมยังจะผลักประเทศให้ตกลึกเข้าไปอีก สำหรับนักการเมืองนั้นไม่น่าห่วง เพราะเขาดิ้นรนเอาตัวรอดได้ แต่ห่วงประชาชนมากกว่าว่าจะทำอย่างไรให้สามารถนำพาประเทศชาติ ประชาชนขึ้นจากหลุมดำนี้ได้
ทั้งนี้ การเขียนในรัฐธรรมนูญถึงรัฐบาลแห่งชาติ โดยเมื่อผ่านประชามติแล้วให้ใช้เสียง 4 ใน 5 ของรัฐสภา โดยพยายามชี้ว่าเพื่อให้เกิดความปรองดองนั้น โดยหลักการฟังดูดี ฟังดูน่าสนับสนุนให้ผ่านประชามติ แต่ขอตั้งคำถามว่า รัฐบาลแห่งชาติแบบที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญนี้จะแก้ความขัดแย้งนำไปสู่การ ปรองดองได้หรือ..? เพราะแค่ประกาศออกมา ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยต่างออกมาประสานเสียงเกือบพร้อมกันว่า ไม่มีทางร่วมรัฐบาลเดียวกัน คำว่าปรองดองจึงเป็นแค่เปลือกที่แทบจะเกิดไม่ได้จริง
"จะเกิดความปรองดองได้นั้น ไม่ใช่อยู่ๆ คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญจะบังคับจับ 2 ฝ่ายใส่กรงเดียวกัน ให้อยู่ด้วยกันแล้วเรียกปรองดอง แต่ควรเปิดโอกาสให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีกระบวนการร่วมคิดร่วมปรึกษาหารือ ร่วมวางแปลน วางแผนสร้างบ้านร่วมกัน ถอยคนละก้าว หาจุดร่วม แสวงจุดต่าง จึงจะสามารถเดินสู่ความปรองดองที่แท้จริงได้"
พร้อมกันนี้ยังยิงคำถามอย่างหนักหน่วงต่อไปว่า รัฐบาลแห่งชาติจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้จริงหรือไม่ หรือแค่เขียนฝันไว้หรูๆ แต่เปิดโอกาสให้ฮั้วประโยชน์ทางการเมือง...?
อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงผู้นี้ มองว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์ให้ฝ่ายการเมืองอ่อนแอ ไม่มีเสถียรภาพ โดยออกแบบให้ฝ่ายการเมืองหลังเลือกตั้งจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลกันเองได้ เพื่อเปิดทางเอื้ออำนวยให้ได้ นายกฯ คนนอก โดยใช้ระบบฮั้วผลประโยชน์กันระหว่างคนนอกที่อยากได้อำนาจทางการเมืองแต่ไม่ ยอมลงเลือกตั้ง กับนักการเมือง เพื่อให้สมยอมจัดตั้งรัฐบาลที่พยายามสร้างภาพว่าเป็นรัฐบาลแห่งชาติที่ ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ใดๆ
ซ้ำร้ายภาพเลวร้ายยิ่งกว่าในอดีตก่อนการปฏิรูปปี 49 จะกลับมาใหม่ มีการฮั้วประโยชน์ แบ่งกระทรวงใครกระทรวงมัน เพราะจะต้องหาเสียงสนับสนุนให้ได้ 4 ใน 5 จึงจะจัดตั้งรัฐบาลได้ และ ถ้าเกิดรัฐบาลแห่งชาติ ระบบการตรวจสอบถ่วงดุลจะไม่เหลือ เพราะฝ่ายค้านจะเหลือเสียงเพียง 1 ใน 5 จะไปมีพลังใดในการไปตรวจสอบควบคุมรัฐบาล ระบบตรวจสอบถ่วงดุลล้มเหลว...?
"พรรคเล็กพรรคน้อยมีโอกาสต่อรองขอโควตารัฐมนตรี ขอโควตากระทรวง เมื่อได้แล้วก็ต้องถือเป็นสมบัติส่วนพรรคตน นายกฯ และรัฐบาลจะเข้าไปแตะต้องไม่ได้ เพราะถือว่าถ้าไม่ได้เสียงของพรรคตนมาสนับสนุนก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เป็นนายกฯ ไม่ได้ ปัญหาที่จะตามมาคือ ปัญหาคอร์รัปชั่นที่จะมากขึ้น และปัญหาการผลักดันนโยบายที่จะทำเพื่อประชาชนจะไม่เป็นเอกภาพ ไม่สามารถผลักดันการแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้ การดีไซน์แบบนี้ประชาชนเสียประโยชน์ แต่นักการเมืองแฮปปี้ นายกฯ คนนอกแฮปปี้"
ทั้งนี้เมื่อถามถึง "คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ" ที่บรรจุอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ต้องชมคนเขียนรัฐธรรมนูญว่า ช่างกล้าเขียนมาก...!!!
ถือเป็นการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ให้คณะบุคคลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจใหญ่กว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน หรือพูดง่ายๆ ว่า เป็นการเขียนรัฐธรรมนูญรับรองการยึดอำนาจจากประชาชนโดยถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งต่อจากนี้ไปไม่มีการปฏิวัติแน่นอน เพราะได้บรรจุให้การยึดอำนาจจากประชาชนเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายไปแล้ว
รัฐธรรมนูญฉบับนี้รัฐบาลจากการเลือกตั้งจะทำงานแทบไม่ได้เลย ยกตัวอย่างว่า ถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีนโยบายช่วยเหลือเอสเอ็มอี โดยการให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่กรรมการยุทธศาสตร์ฯ มองว่าเป็นโครงการประชานิยม และเป็นงานที่อยู่ในแผนปฏิรูปของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ที่กำลังดำเนินงานอยู่ ก็จะไม่ให้รัฐบาลดำเนินการ แล้วแบบนี้จะจบอย่างไร ประชาชนที่รอคอยความช่วยเหลือก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ รัฐบาลจะเป็นยิ่งกว่ารัฐบาลเป็ดง่อย และที่สำคัญคือ ประชาชนตาดำๆ จะเดือดร้อนที่สุด
"เมื่อเขียนรัฐธรรมนูญโดยให้มีคนบุคคลที่ไม่ได้มาจากประชาชนมามีอำนาจ มากกว่าคนที่ประชาชนเลือก แล้วจะเรียกว่าประชาธิปไตยได้อย่างไร ประชาธิปไตยคือระบบที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง มีส่วนร่วมในการตัดสินใจโดยมีอำนาจตัดสินใจด้วย ดังนั้น ถ้าบอกว่ามีส่วนร่วมคือให้มีประชามติ แต่จริงๆ แล้วไม่มีอำนาจตัดสินใจ แล้วส่วนร่วมนั้นจะเป็นจริงได้อย่างไร"
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ ประเทศชาติเสียหายมากที่สุด ความหวังของประชาชนที่อยากเห็นประเทศชาติสงบสุข ขจัดความขัดแย้ง เดินหน้าสู่การปรองดอง จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง เพราะพิจารณาดูง่ายๆ ทันทีที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกเปิดเผยเนื้อหา เราก็ได้ยินเสียงวิจารณ์คัดค้านจากทั้งฝั่งประชาธิปัตย์และเพื่อไทยอย่าง มากมายแล้ว คำว่าปรองดองจึงเป็นเพียงข้ออ้าง หรือเป็นกระดองที่ไม่มีเนื้อใน
"อยากจะวิงวอนท่านผู้นำ ท่านนายกฯ ว่า โปรดใช้อำนาจที่มีอยู่เต็มเกิน 100% ของท่านมาแก้ไข มาถอดสลักระเบิดลูกใหญ่ที่เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก่อนที่จะทำความเสียหายให้แก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวงในอนาคต ถ้าท่านต้องการทำเพื่อคืนความสงบสุขให้บ้านเมืองจริงอย่างที่ท่านให้สัญญา เว้นแต่ท่านตั้งใจที่จะให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญรับรองการยึดอำนาจถาวรจาก ประชาชนอย่างถูกกฎหมาย"
เมื่อถูกถามถึงกระแสการผลักดันให้ขึ้นเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์บอกว่า ยังคงไม่ดูไปไกลขนาดนั้น ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้นำไปใช้จริงคงหนักใจถ้าจะกลับมาทำงานการเมือง เพราะเสี่ยงที่จะเสียคนอย่างยิ่ง ในการหาเสียงเลือกตั้งนักการเมืองต้องไปขายนโยบายว่าจะเข้าไปทำประโยชน์อะไร ให้ประชาชน เราต้องไปสัญญาว่า ถ้าได้รับเลือกตั้งก็จะไปทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้
อย่างไรก็ตาม ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่มีทางที่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งจะ สามารถผลักดันนโยบายใดได้หากปราศจากความเห็นชอบของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ที่ถูกดีไซน์ให้ใหญ่กว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เท่ากับว่าเริ่มต้นเราก็ไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนที่เลือก เรามาได้ ผิดศีลตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
"นักการเมือง พรรคการเมือง ควรต้องกลับมาดูตัวเอง ควรจะทำให้ระบบการเมืองเข้มแข็ง การเมืองต้องสู้กันในสภา ไม่ใช่ไปสู้กันกลางถนน เป็นโอกาสที่ดีที่พรรคเพื่อไทยจะได้ใช้โอกาสนี้ปรับตัวและพัฒนาตนเอง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยเจอมรสุมมาหลายยก ตั้งแต่ปี 49 ที่ถูกปฏิวัติ ต่อมาถูกยุบพรรค ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 2 รุ่น ขณะนี้ก็ถูกห้ามให้ดำเนินงานทางการเมือง"
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวทิ้งท้ายอย่างเชื่อมั่นว่า แต่พรรคเพื่อไทยก็ถือเป็นพรรคใหญ่ที่มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถอยู่ มาก เป็นพรรคที่ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชน จึงควรพลิกวิกฤติในครั้งนี้มาเป็นโอกาสในการพัฒนาพรรคให้เป็นสถาบันการเมือง
พรรคเพื่อไทยมีพื้นฐานที่ดีจากพรรคไทยรักไทย ที่ถือเป็นพรรคแรกๆ ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาปัญหาประเทศอย่างจริงจัง และนำมาสร้างเป็นนโยบายในการแก้ไขปัญหาประเทศ จนสำเร็จได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างมาก..!!
ตายห่าแล้ว ทีมเศรษฐกิจใหม่ ออกตัว เทวดาก็ช่วยไม่ได้ บาทจะแตะ 40 ปีหน้านี้
ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย คาดหากสงครามค่าเงินปะทุขึ้นมาอีก ค่าเงินบาทมีโอกาสแตะ 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปีหน้า ขณะที่อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประเมินเศรษฐกิจไทยเข้าขั้นวิกฤติแล้ว
เครดิต http://news.voicetv.co.th/business/250032.html
นาย วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี มองภาวะเศรษฐกิจไทยขณะนี้เข้าขั้นวิกฤตแล้ว หลังการส่งออกหดตัว ธุรกิจขาดทุน โดยเฉพาะเอสเอ็มอีปิดกิจการ หนี้เอ็นพีแอลภาคสถาบันการเงินสูง โดยเศรษฐกิจไทยจะอยู่ในลักษณะ U shape ยาวถึงสิ้นปี และจะยังไม่ฟื้นตัวจนถึงปีหน้า(59) เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวดี ราคาพลังงานลดลงมาก
ดังนั้น ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ทำได้เพียงประคองเศรษฐกิจในประเทศไม่ให้ทรุดไปกว่านี้ จึงไม่อยากให้ตั้งความหวังกับการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ เพราะคงไม่สามารถฝืนภาวะเศรษฐกิจโลกได้ โดยเฉพาะจีนที่กำลังมีปัญหา
ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย คาดการส่งออกของไทยปีนี้จะติดลบร้อยละ 4 ส่วนทิศทางเงินบาทมีโอกาสแตะ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปลายปีนี้ และอาจถึง 38 บาทปลายปีหน้า แต่หากสงครามค่าเงินปะทุขึ้นมาแรงอีกครั้งหลังจากจีนลดค่าเงินหยวน เงินบาทอาจทะลุกรอบ 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ จึงมีโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวแก้ปัญหาเศรษฐกิจแทนนโยบายดอกเบี้ย
ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าจะยังอยู่ที่ร้อยละ 1.50 ตลอดทั้งปี และปรับขึ้นเป็นร้อยละ 1.75 ในปีหน้า
=====
Credit: http://news.voicetv.co.th/business/249972.html
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เชื่อหากสงครามค่าเงินปะทุ จะส่งผลต่อทิศทางค่าเงินบาทให้อ่อนตัวแตะระดับ 40 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐได้ในปลายปีหน้า
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่าการที่จีนลดค่าเงินหยวนนั้น มีเหตุผล 2 ประการ คือเพื่อพยุงเศรษฐกิจ และเตรียมความพร้อมสู่การเป็นเงินตราสกุลหลักของโลก ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย เนื่องจากสินค้าจากไทยจะมีราคาแพงขึ้นโดยปริยาย คาดภาพรวมการส่งออกของไทยปีนี้จะติดลบร้อยละ 4 เทียบกับปีก่อนหน้า เชื่อประเทศที่มีสัดส่วนการค้าการลงทุนกับจีนในปริมาณสูง อย่างไต้หวัน สิงคโปร์ และเกาหลีใต้จะปรับลดค่าเงินเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
สงครามค่าเงินที่ขยับเข้ามาใกล้อาเซียน ทำให้ทิศทางค่าเงินบาทมีความผันผวนมากขึ้น คาดมีโอกาสอ่อนค่าแตะ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปีนี้ และอาจจะถึง 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปี 2559 แต่หากสงครามค่าเงินปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เงินบาทอาจจะทะลุระดับ 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ในปลายปี 2559 เชื่อมีความเป็นไปได้ที่ธนาคาแห่งประเทศไทยจะเลือกใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแทนนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
ผู้บริหารสำนักงานวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ยังเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 ตลอดทั้งปี คาดจะปรับขึ้นเป็นร้อยละ 1.75 ในปลายปีหน้า เนื่องจากมีความพร้อมรับมือกับดอกเบี้ยขาขึ้น
ส่วนการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อวานนี้ เกิดจากความกังวลของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจโลก เชื่อเป็นเพียงการปรับฐานเท่านั้น