From: Global Alumni Convention <gac@idp.com>
Date: Fri, Sep 4, 2015 at 9:10 PM
Subject: Global Alumni Convention 2016
|
|
When the mainstream media are being influenced and dictated by the ruling elites and the tyrannical royal government, this is a blog that collects and presents resources on Thai politics from alternative and foreign sources.
|
|
http://www.io-pr.org/index.php…
ประวัติเมืองปัตตานี
ตอนที่ 1
กำเนิด ดินแดนหลังกาสุกะจนถึงปัจจุบัน ประมาณ 2,000 ปี ซึ่งถิ่นกำเนิดดินแดนนี้ศูนย์กลางอยู่ที่หมู่บ้านยือรา (จือแร ประตูโพธิ์) เมืองยะรังในปัจจุบัน ตามคำบอกเล่าในหนังสือประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซีย ก่อนที่จะมาเป็นปาตานีนั้นดินแดนลังกาสุกะถือว่าเป็นดินแดนที่มีความหลาก หลายของชาติพันธุ์ มีทั้งจีน ทั้งอินเดีย ความคิดความเชื่อก็มีลักษณะความเชื่อแบบจิตวิญญาณผิดๆ คือเชื่อในผีสาง ต่อมาก็เกิดความเชื่อแบบศาสนาฮินดูอย่างกว้างขวางอารยะธรรมก็เป็นแบบจีนและ อินเดีย ตลอดจนระบบการปกครองก็มีลักษณะเป็นแบบอิสระ คือปกครองตามแบบแผนของตนเอง(ปกครองโดยตนเอง) มีการไปมาหาสู่กันระหว่างจีน อินเดีย รวมไปถึงชาวอาหรับ ส่วนชาวซาไกที่อาศัยตามหุบเขาต่างๆ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนเหล่านั้นก็ถือว่าเป็นบรรพบุรุษของลังกาสุกะเช่นกันรวมไปถึงคนที่อยู่ตาม ชายทะเล (ภูเก็ต ระนอง พังงา สตูล กระบี่) ก็เป็นลูกหลานลังกาสุกะ เรียกรวมๆว่าอาณาจักรลังกาสุกะหรืออาณาจักรมลายูสมัยพราหมณ์-ฮินดู ต่อมาเป็นการแพร่ขยายเข้ามาของบูสาร์(ศาสนาพุทธ)นิกายมหายาน ส่วนภาษาพูดเป็นการพูดเหมือนกับคนปาตานีพูด ปัจจุบันมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลืออยู่ เช่น เมืองโบราณยะรัง ซึ่งคลุมพื้นที่ 3 พื้นที่ของเมืองยะรังประกอบด้วย ตำบลวัด ตำบลประจัน และตำบลยะรัง
ตอนที่ 2
พ.ศ. 2000 ลังกาสุกะเป็นชื่อที่ถูกเรียกมาก่อนของดินแดนแห่งนี้ ลังกาสุกะ (หมู่เกาะแห่งสงบสุข)เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรมลายู โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่โกตามาหาลิไกย (ยะรังในปัจจุบัน) ซึ่งช่วงนั้นประสบกับปัญหาการคมนาคมเพราะต้องข้ามฝั่งไปมาซึ่งยากลำบากทำให้ เจ้าเมืองพญาอินทิรา พยายามหาพื้นที่เพื่อเปลี่ยนที่ตั้งเมืองแห่งใหม่ เจ้าเมืองพญาอินทิราเป็นบุคคลที่รักการล่าสัตว์เป็นงานอดิเรก จึงได้จัดช้างเผือกเข้าไปล่าสัตว์บริเวณริมทะเลพร้อมตั้งแคมป์เป็นที่พัก ต่อมาได้มีสุนัขตัวหนึ่งเห่าอยู่ใกล้ๆที่ตั้งแคมป์เจ้าเมืองพญาอินทิราจึง ได้ออกสำรวจดู พบว่ามีกระจงขาววิ่งหนีหายไปในระหว่างหาดทรายริมชายทะเล จึงออกไล่ตามและได้พบกับผู้เฒ่านามว่าโต๊ะตานี เลยถามว่าเห็นกระจงผ่านมาที่หาดนี้ไหม เจ้าเมืองพญาอินทิราเมื่อได้เห็นชายหาดแห่งนี้จึงเกิดความรู้สึกชอบ เพราะชายหาดแห่งนี้สะอาด(บรือเซะ) หรือกรือเซะ จึงเป็นเหตุให้พระองค์ย้ายเมืองหลวงจากโกตามาหาลิไกยมาตั้งที่กรือเซะ โดยได้ก่อตั้งเมืองกรือเซะขึ้นมาก่อนใช้เวลาก่อตั้ง ประมาณ 3 เดือนเศษเพื่อเป็นที่ตั้งเมืองใหม่และต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นชื่อเมืองปาตานี `ในช่วงนั้นเจ้าเมืองพญาอินทิรานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน โดยในสมัยนั้นคนในพื้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนักประวัติศาสตร์ยุโรปได้ กล่าวว่า ยุคนั้นผู้คนนับถือหรือเข้าอิสลามประมาณ 300 ปีก่อนพญาอินทิราจะเข้ารับอิสลาม หากเราสังเกตแผนที่แล้วในพื้นที่แห่งนี้ถือว่าเป็นพื้นที่แหลมหรือเรียกว่า แหลมทองนับจากกระบุรี จังหวัดระนองลงมา โดยการตั้งชื่อนี้นักกรีกโบราณได้มีการตั้งชื่อไว้ในช่วงศตวรรษที่ 3 ซึ่งในพื้นที่แหลมทองนี้เป็นถิ่นที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านพืชผลหลากหลาย ชนิด ตลอดจนในช่วงนั้นการทำเนื้อกระจงตากแห้งเป็นที่นิยมของคนอาหรับ จึงได้ส่งไปยังต่างประเทศและเป็นสินค้าที่นิยมมาก ชาวอาหรับก็ได้เดินทางลงมายังแผ่นดินแหลมทองแห่งนี้มาพร้อมกับการเผยแพร่ ศาสนาและทำการค้าควบคู่กัน
ตอนที่ 3
ยุค ของการเผยแพร่ศาสนาอิสลามเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เจ้าเมืองพญาอินทิรายังดื้อรันไม่ยอมเข้ารับอิสลามและไม่มีใครที่กล้าเข้าไป ในวังเพื่อเผยแพร่ศาสนาให้กับเจ้าเมืองพญาอินทิรา การเผยแพร่ศาสนามีความเข้มข้นมากตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอาณาจักรลังกาสุกะมา จนถึงช่วงต้นของการสร้างเมืองปัตตานี แต่ประชาชนชาวโกตามาหาลิไกยส่วนใหญ่ยังนับถือศาสนาพุทธผสมกับพราหมณ์ – ฮินดู จนมาถึงสมัยของเจ้าเมืองพญาอินทิรา เกิดการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาจากศาสนาพุทธเป็นอิสลาม การเปลี่ยนศาสนาของเจ้าเมืองพญาอินทิรามีตำนานเล่ากันว่า เจ้าเมืองพญาอินทิราได้ทรงเกิดพระโรคบางอย่างกำเริบขึ้นบนร่างกายของ พระองค์ แพทย์หลวงในราชสำนักรักษาเท่าไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายขาด พระองค์จึงให้เสนาบดีป่าวประกาศไปทั่วเมืองว่า หากหมอผู้ใดสามารถรักษาพระโรคให้หายขาดได้จะทรงพระราชทานรางวัลให้อย่างงด งาม มีแขกปาชายผู้หนึ่งเดินทางมาจากเกาะสุมาตราชื่อ"เซ็กซาฟียิดติน" อาสาเข้าทำการรักษาพระโรคของเจ้าเมืองพญาอินทิรา โดยขอคำมั่นสัญญาจากพระองค์ว่าเมื่อตนสามารถรักษาอาการป่วยหายแล้ว พระองค์ต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามแทนศาสนาพุทธซึ่งเจ้าเมืองพญาอินทิรา ก็ทรงรับปากแต่โดยดี เซ็กซาฟียิดตินได้ทำการรักษาพระโรคของเจ้าเมืองพญาอินทิราจนหายขาด แต่พระองค์กลับคำไม่รักษาสัญญา ต่อมาไม่นานโรคร้ายจึงกำเริบขึ้นมาอีกครั้งร้อนถึงหมอแขกชื่อดังต้องกลับมา รักษาให้หายอีก แต่คราวนี้เจ้าเมืองพญาอินทิราก็ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเสียที เจ้าเมืองพญาอินทิราได้ผิดคำสัญญาถึง ๓ ครั้ง หมอแขกก็ตามรักษาอยู่ทุกครั้ง จนมาถึงครั้งที่ ๔ เจ้าเมืองพญาอินทิราจึงยอมเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามตามสัญญา และโรคร้ายก็หายไปไม่มากล้ำกรายอีกเลย จึงแต่งตั้งเซ็กซาฟียิดตินขึ้นเป็น ดาโต๊ะ สารีรายา ฟาเกะฮ์ (คือผู้รู้ยอดเยี่ยมของ ศาสนาอิสลาม) เป็นเหตุให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ขุนนาง และชาวเมืองเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามกันหมด พลเมืองชาวปาตานีเมื่อเห็นกษัตริย์ของตนเปลี่ยนศาสนาจึงพากันเข้ารีตนับถือ ศาสนาอิสลามกันทั้งหมด ต่อมาจึงได้ทำลายพระพุทธรูป เทวรูป โบราณสถานทางพุทธศาสนาพุทธในเมืองลังกาสุกะจนเสียหายหมดสิ้น จากนั้นชื่อเมืองลังกาสุกะก็หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์นับตั้งแต่บัดนั้น
ตอนที่ 4
การ เข้ามาของเซ็กซาฟียิดตินในปาตานี เพื่อรักษาอาการป่วยของพญาอินทิราจนพระองค์เข้ามารับนับถือศาสนาอิสลามแล้ว เปลี่ยนพระนามเป็น สุลต่านอิสมาแอลชาห์ซิลลุลลอฮ์ฟิลอาลาม ได้มีการขอพรให้พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ปาตานีดารุสาลาม การเรียกชื่อเมืองปาตานีเป็นปาตานีดารุสาลาม ได้มีการสืบทอดการปกครองอาณาจักรปาตานีดารุสสาลามจนสิ้นสุดราชวงศ์ศรีมหาวัง สา ซึ่งนับจากอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ราวประมาณ 500 ปี มาแล้ว และเซ็กซาฟียิดตินเองก็ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญในการเข้ามามีบทบาทของ การเปลี่ยนแปลงเมืองปาตานีให้ดียิ่งขึ้น เปลี่ยนแปลงการนับถือศาสนาให้กระจ่างยิ่งขึ้น และได้ขยายพื้นที่ คอลอมือเกาะห์ (สะพานปลาในปัจจุบันนี้) ถึงบานา ตันหยงลูโละ ปาเระ และเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในอาคเนย์ มีช่วงหนึ่งที่เครื่องบินรบของจีนได้เข้ามาในปาตานี มาส่งมอบกระสุนปืนใหญ่ให้กับกษัตริย์ปาตานีน้ำหนักประมาณ 8 กิโลกรัม กษัตริย์ปาตานีถามกลับว่าไหนปืนล่ะ จึงเกิดที่มาในการสั่งการให้สร้างปืนใหญ่ขึ้นมา ที่รู้จักกันในช่วงนั้นคือปืนใหญ่มาเรียมโดยมีช่างใหญ่เป็นชาวอิหร่าน หลังจากนั้นกษัตริย์ปาตานีประกาศต่อชาวปาตานีว่าห้ามใครขายทองแดงเด็ดขาด เนื่องจากปาตานีมีความประสงค์ที่จะผลิตเป็นปืนใหญ่ เราสามารถดูปืนใหญ่นี้ได้ที่หน้ากระทรวงกลาโหม 1 กระบอกมีนามว่าศรีปาตานีส่วนที่เหลือได้จมลงทะเลในสมัยนั้น ชาวปาตานีในสมัยก่อนได้ผลิตปืนใหญ่ส่งไปยังต่างประเทศแล้ว เราในสมัยนี้ล่ะจะผลิตเข็มตราปาตานีส่งขายไป ยังต่างประเทศได้หรือไม่ลองคิดดู ในสมัยนั้นมีหลายประเทศที่เข้ามาสั่งซื้อปืนใหญ่จากปาตานีเช่น ญี่ปุ่น หากมองภาพรวมแล้วปาตานีก็ถือว่าไม่ใช่กระจอกในช่วง 500 ปีก่อน
ตอนที่ 5
ต่อ มาเป็นยุคการต่อสู้ของรายาอูมูม (รายาบีรู) ที่ได้นำกองทัพไปตีสยามในพื้นที่พัทลุง จนสยาม พ่ายแพ้ โดยใช้เวลาในการต่อสู้นานถึง 4 ปี ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงที่รายาอูมูม (รายาบีรู) ที่มีบทบาทในการสร้างสถาบันปอเนาะ และยุคนั้นเองได้สร้างมัสยิดตะโละมาเนาะ (มัสยิด 300 ปี) โดยวาเดลฮูเส็นเป็นผู้ สร้างและเปิดให้มีปอเนาะ รวมทั้งมีการเขียนอัลกุรอานด้วยมือเป็นเล่มๆ ซึ่งมัสยิดถือได้ว่าเป็นโรงพิมพ์ใน ช่วงนั้นก็ว่าได้ ต่อมาลูกๆหลานๆ ของวาเดลฮูเส็นที่ชื่อ อับดุลเลาะ ได้ขยายพื้นที่เปิดปอเนาะไปยังเขต กรือเซะ ต่อมาเมื่อปี 2329 ได้เกิดสงครามเก้าทัพ ปาตานีนำทัพโดยเชะดาโอะ ซึ่งมีอายุเพียง 17 ปี หลังจากการทำสงคราม เชะดาโอะ ก็ได้เดินทางไปยังรัฐตรังกานู (ประเทศมาเลเซีย) และไปยังอาเจะห์ (ประเทศอินโดนีเซีย) เพื่อไปเรียนต่อประมาณ 3 ปี แล้วเดินทางต่อไปยังนครมะดีนะห์ (ประเทศซาอุดิอาระเบีย) ซึ่ง การทำสงครามกับสยามที่ปาตานีช่วงนั้นได้พ่ายต่อชาวสยาม
ตอนที่ 6
ช่วง สงครามเก้าทัพนั้นมัสยิดกรือเซะถูกเผา และปืนใหญ่ศรีปาตานีทั้ง 2 กระบอกถูกยึดไปรวมถึงบ้านเรือน วัง ก็ถูกเผาทั้งหมด คนที่สามารถหลบหนีได้ก็หนีไปยังพื้นที่อื่นๆ ส่วนคนที่หนีไม่ทันก็ถูกนำตัวไปยังบางกอก ชาวปาตานีถูกนำไปครั้งนั้นเพื่อเป็นเชลยขุดคลอง (คลองแสนแสบ) ต่อมาเชะดาโอะได้กลับมาทำสงครามอีก ครั้งกับสยามโดยได้ขยายพื้นที่ไปยังเขตจะนะและสะกอม
ปาตานีคือ ชื่อรัฐๆ หนึ่งอยู่บนแผ่นดินด้ามขวานที่เรียกว่าแหลมมลายู แซะห์ อาหะหมัด บินวัน มูฮัมหมัดเซ็น อัลฟาตอนี ได้กล่าวไว้ว่า "ปาตานี คือรัฐหนึ่งในหลายๆ รัฐของชาวมลายู ได้เป็นสถานที่ก่อกำเนิดบุรุษที่ดี เฉลียวฉลาด รักสงบและเก่งกล้า เป็นรัฐที่มีเอกราช และอยู่ภายใต้ปกครองของบุคคลเหล่านั้นมาแต่อดีต"
การเผยแพร่ศาสนาในช่วง นั้นมีการยึดถือมุสฮับสาฟีอีน(ความเชื่อ ความศรัทธา) และเจริญขึ้นในฐานะอิสลามอย่างเต็มรูปแบบในปาตานี เพราะฉะนั้นเราต้องให้ความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ปาตานี
ตอนที่ 7
ต่อ มาเป็นยุคของรายากูนิงเป็นยุคที่มีการแย่งชิงอำนาจทางการปกครอง เนื่องจากกษัตรีย์ปาตานี ได้สิ้นพระชนม์และได้มีการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ ก่อนการสิ้นพระชนม์ของรายากูนิงแทบจะเรียกได้ว่าในระหว่างการปกครองของ กษัตริย์ที่เป็นหญิงในปาตานีนั้นได้สร้างความเจริญรุ่งเรือง การแต่งตั้งเจ้าเมืองขึ้นมาใหม่ ซึ่งมาจากสามัญชนทั่วไปชื่อต่วนกูอะห์หมัดมาเป็นกษัตริย์แทน ช่วงนั้นมีชาวพุทธคนหนึ่งมีชื่อว่านายจันทอง มีพื้นเพมาจากนครศรีธรรมราชก็ได้เข้ารับอิสลามและได้เข้าไปเป็นทหาร จากนั้นได้นำทัพลงน่านน้ำปาตานีและนำปืนใหญ่ไปด้วยเพื่อทำการรบกับสยาม แต่ในความเป็นจริงแล้วนายจันทองนั้นเรียกได้ว่าเป็นนกสองหัว เนื่องจากสยามยิงปืนใส่ชาวปาตานี แต่นายจันทองกลับยิงปืนใส่ชาวปาตานีด้วยกันเองทำให้ต่วนกูอะห์หมัดสิ้นชีวิต ลงในระหว่างการลงรบ หลังจากนั้นปาตานีจึงได้เปลี่ยนผู้ปกครองอีกหลายต่อหลายท่าน
สุลต่าน อะห์หมัดเป็นสุลต่านจนถึง พ.ศ.2329 ปาตานีก็ถึงกาลอวสาน เนื่องจากการเข้าโจมตีของกองทัพสยามทั้งทางบกและทางเรือ ซึ่งสุลต่านอะห์หมัดได้สิ้นชีพในการต่อสู้กับศัตรูในครั้งนั้น และส่งผลให้ บ้านเมืองถูกเผาทำลาย ชาวมลายูปาตานีถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ที่สามารถหลบหนีได้ก็แยกย้ายกันไปอาศัยเมืองข้างเคียง ส่วนหนึ่งก็ถูกจับตัวไปเป็นเชลยพร้อมปืนใหญ่ศรีปาตานีที่ถูกยึดไปบางกอก ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่หน้ากระทรวงกลาโหม
เมื่อประมาณ 500 ปีก่อน ปาตานีถือเป็นที่ผลิตปืนใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก โดยทางญี่ปุ่นก็ได้มีการสั่งซื้อไปยังประเทศด้วย การทำสงครามครั้งนี้ถือเป็นการทำสงครามครั้งที่หกและเป็นครั้งแรกที่ปาตานี ต้องสูญเสียอำนาจแก่สยาม กระทั่ง พ.ศ.2329 สยามได้ยึดปาตานีอย่างเป็นทางการในสมัยของรัชกาลที่ ๑ ศูนย์กลางของสยามในสมัยนั้นคือธนบุรีก่อนที่จะมาเป็นกรุงเทพ
ตอนที่ 8
มี คนถามว่ามันเกี่ยวข้องอย่างไรกับเกดาห์ (กือเดาะห์) ผู้บรรยายอธิบายต่อว่า เนื่องจากช่วงนั้นมีการกล่าวกันว่าพญาวังศาได้เข้าไปในเกดาห์ พญาวังศามีลูกสาวจึงได้ขึ้นช้างพามุ่งหน้าไปยังทิศเหนือไปถึงห้วยเงาะ โคกโพธิ์ แล้วหยุดเนื่องจากช้างร้องไห้ ซึ่งปัจจุบันบริเวณนั้น เป็นที่ตั้งของวัดช้างไห้แต่ข้อมูลยังไม่แน่ชัดเท่าไร สำหรับข้อมูลในส่วนของปาตานีที่มีความสัมพันธ์กับเกดาห์นั้น มีความเกี่ยวข้องกันในส่วนของการตั้งเป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าในสมัยลังกา สุกะและเป็นรัฐญาติมิตรระหว
นักการเมือง (อีแอบ) อาทิตย์ที่จะถึงนี้ สปช. จะโหวตร่างรัฐธรรมนูญ เดินหน้าตามโร้ดแม็พไปสู่การลงประชามติ ฝั่งหนึ่งเห็นว่าดีว่างาม เสมือนเป็นดวงดาวเจิดจรัสเปิดทางปฏิรูปประเทศไทย อีกฝั่งหนึ่งมองเป็นโคลนตม ไร้ราคา พาประเทศชาติถอยหลังลงคลอง ทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ นักการเมืองมักตกเป็นจำเลย ของอย่างนี้ว่ากันไม่ได้ เพราะบรรดานักการเมืองทำตัวเอง กล้าทำก็ต้องกล้ารับ ทุกคนล้วนเสนอตัวอาสามาทำงานผ่านการเลือกตั้งของประชาชนและกฎเกณฑ์สารพัด แต่มีอีกจำพวกหนึ่ง เป็นนักการเมืองอีแอบ ไม่ต้องอาศัยกฎเกณฑ์ ได้ดิบได้ดีทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร โดยการเข้าหาขั้วอำนาจ ณ ขณะนั้น เชียร์ตะบี้ตะบัน เลียทุกเรื่อง ยกยอน้ำลายสอ ปั้นน้ำเป็นตัว เพื่อให้ตัวเองดำรงอยู่ในวงจรอำนาจ ตอนนี้มีพวกใหม่ผุดขึ้นมาอีก เป็นจำพวกที่สองของอีแอบ เคยเป็นนักการเมือง แต่แสร้งทำว่าไม่เล่นการเมืองแล้ว ทั้งที่ในอดีตมีคุณสมบัติเป็นนักการเมืองชั้นเลว 101% แต่ทำเป็นลาออกชุบตัวในน้ำทะเล แล้วเป็นแกนนำ "เครื่องมือการเมือง" (Political Tools) ให้แก่พรรคการเมือง หรือศูนย์อำนาจการเมือง เสมือนหนึ่งเป็นกองโจร รบแบบไร้รูปแบบ ทำงานได้อิสระ ปล้นดะ ไร้วินัย ทั้งสองจำพวกนี้ไม่ได้ดีไปกว่านักการเมืองเลย หากนักการเมืองเลว ยังเลวในระบบ มีกฏเกณฑ์ที่ต้องระมัดระวัง แต่พวกเลวนอกระบบ สันดานอยากทำอะไรก็ทำ ได้คืบจะเอาวา เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนเหมือนเจ้าไม่มีศาล ฉกฉวยหยิบกินของเซ่นไหว้ ไม่เคยเห็นหน้าตอนเลือกตั้ง แต่ไม่เคยห่างหายจากการเมือง รัฐธรรมนูญยังไม่ได้จำกัดห้ามคนจำพวกนี้เอาไว้ อย่างนี้น่ากลัวกว่ากันแยะ ประชาชนโปรดระวังเอาไว้เถิด |
น.ส.ณัฐ นันท์ นรินทรเวช นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia กรณี อดีตรองผู้อำนวยโรงเรียนเสิงสาง นครราชสีมา ใช้อารมณ์แสดงอาการดูถูก เหยียดหยาม และทำร้ายนักเรียนด้วยการตบหัว โดยอ้างว่าทำไปเพราะความรัก ความหวังดีที่ครูมีต่อนักเรียนว่า ผู้บริหารโรงเรียน หรือ ครู อาจารย์ จะต้องแยกให้ออกว่าระหว่าง จิตวิญญาณความเป็นครู กับ การทำร้ายร่างกาย หรือการดูถูก เหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นคน การทำร้ายร่างกายเท่ากับผิดกฎหมายดังนั้นการจะอ้างว่า ทำไปเพราะวิญญาณของความเป็นครู จึงไม่อาจจะอ้างได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะในโรงเรียน และระบบการศึกษาของไทย ยังคงใช้ ความเป็นอำนาจนิยม สั่งสอนนักเรียน แต่ควรจะต้องมีระบบที่จะถ่วงดุลย์อำนาจระหว่างนักเรียน และครู หรือผู้บริหารโรงเรียน การลงโทษนักเรียน ทำได้แต่ต้องผ่านกระบวนการสอบสวนโดยคณะบุคคล ไม่ใช่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบของครูเพียงคนเดียว ดังนั้นอย่าสั่งสอนเด็กด้วยความกลัว หรือ สร้างระบบอำนาจนิยมขึ้นมาในโรงเรียน เพราะจะทำให้เด็กไทยไม่มีวุุฒิภาวะ ไม่มีจิตนาการ ขาดความคิดสร้างสรรค์ กรณีที่เกิดขึ้นที่ ร.ร.เสิงสาง ควรจะเป็นบทเรียนสำคัญในระบบการศึกษาไทยที่จะต้องนำมาถกเถียงพูดคุยและหาทางแก้ปัญหาระยะยาว แทนที่จะแก้ปัญหาเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของครู และโรงเรียน
ว่า ด้วยเรื่อง การไปถอดถอน หรือ ยกเลิกหนังสือเดินทางของคุณ จาตุรนต์ ฉายแสง นี่คือการใช้อำนาจโดยมิชอบ เพื่อประโยชน์ตน (ความสะใจของผู้สั่งการ) ถามว่า ประเทศไทย และคุณประยุทธฯ "ท่านผู้นำ" อยากตกเป็นจำเลยในศาลนานาชาติใช่หรือไม่?
คำตอบ ที่ผมจะมอบให้คณะคสช. "ท่านผู้นำ" และครม.ประยุทธฯ 3 ก็คือ คำตอบสั้นๆดังต่อไปนี้:
๑. ในกรณีนี้นอกจาก จะเป็นการกระทำ ที่เรียกว่า "Abused of Powers for Private Gains" อันเป็นการกระทำที่เรียกว่า "Corruption" ตาม (สนธิสัญญาขจัดหรือปราบปรามการคอร์รัปชั่น ปีค.ศ.๒๐๐๓) หรือ Convention against Corruption,2003 ตามความหมายอย่างกว้างของสนธิสัญญาฉบับนี้แล้ว
๒.ผมว่า ประเทศไทย กำลังเดินเข้าสู่โหมด ของความหายนะแน่นอน อยู่ดีไม่ว่าดี ไปถอดถอนหนังสือเดินทางของ นักการเมือง แบบคุณจาตุรนต์ ฉายแสง ต้อง
๓. ถามตรงนี้ว่า เคยอ่านเรื่อง ที่ผมนำคำพิพากษาของศาล Supreme Court ของสหรัฐฯ ที่ผมนำมาลงไว้ในเรื่องคุณปวิณ ชัชชวาลย์พงศ์พันธุ์ และ เรื่อง การถอนหนังสือเดินทางของ ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วไม่ใช่หรือ? ในชุมชนแห่งเสรีภาพ (the Land of Liberty
๔. คำตอบในเรื่องนี้ อยู่ที่บทความเหล่านั้น ถามตรงนี้ว่า กฏหมายอันมี ที่มาจากสนธิสัญญา คือ พันธกรณี ย่อมอยู่เหนือกฏหมายทุกฉบับของ ประเทศไทย รวมทั้งคำสั่งของ คสช.ใช่หรือไม่? ไปหาคำตอบด้วยตัวพวกท่านเอง
๕. เมื่อใดที่ผู้เสียหาย ได้รับผลร้ายเพราะการกระทำ ที่ว่านี้ เขาย่อมเกิดสิทธิในการฟ้องคดีในศาลนานาชาติ โดย อัตโนมัติ หรือ จะเรียกอีกอย่างว่า เขาได้รับสิทธิในการฟ้องคดี แบบ Automatic Exhaustion ในศาลนานาชาติทันที ตรงนี้ผมต้องขอถามอีกครั้งว่า กระทรวงจับฉ่าย ต้องตกเป็นจำเลยด้วยในเรื่องนี้ อยากเสี่ยงไหม? ถ้าอยากเสี่ยง ก็ต้องลองดู สักตั้ง
๖. เดี๋ยวผมจะเอาเรื่องราว และ คดีในกรณีนี้มาลงให้ดู โดยสังเขป และทุกคำพิพากษาของศาล Supreme Court ของสหรัฐอเมริกา ที่นำมาลงให้อ่านกัน วันนี้ องค์การสหประชาชาติ นำเอามาใช้เป็นหลัก ในการดำเนินวิเทโศบายขององค์การ "ท่านผู้นำ" อย่าหลงเชื่อ แต่กระทรวงจับฉ่าย เดี๋ยวจะเดือดร้อน ไม่สิ้นสุด.
เมื่อเห็นว่าจำเป็น ก็ต้องเตือนกันไว้ ก่อนจะเดินพลัดตกเหวลึก.
นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตนักการเมืองหลายสมัย และอดีตประธาน นปช. ให้สัมภาษณ์ Thaivoiecmedia ว่า วันจันทร์ที่ 7 กันยายนนี้ แกนนำพรรคการเมือง 4 พรรค ประกอบด้วย เพื่อไทย ภูมิใจไทย ชาติพัฒนา และชาติไทยพัฒนา จะหารือกันเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ชอบธรรม และเป็นเผด็จการ ก่อนที่จะชวนให้ พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมด้วย เพราะเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ นักการเมืองซึ่งถูกประนามมาโดยตลอดในระยะ 1ปีกว่าที่่ผ่านมาว่าเป็นคนเลว จะต้องออกมาพิสูจน์ความตั้งใจที่จะให้การเมืองไทยเป็นประชาธิปไตย และเชื่อว่า ประชาธิปัตย์ กับ พรรคเพื่อไทย น่าจะร่วมมือกันได้เพื่ออนาคตของประเทศ เพราะต่างก็เห็นร่วมกันว่า หากปล่อยให้ ร่างรัฐธรรมนูญบังคับใช้ ประเทศจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปัญหา ส่วน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นั้นได้ลาออกจากพรรคไปแล้ว ถึงตอนนี้คงต้องพิสูจน์กันละว่า พลังอำนาจของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับ เลขาธิการมูลนิธิ กปปส.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ใครจะมีมากกว่ากัน
นาย วีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตนักการเมืองหลายสมัย และอดีตประธาน นปช.ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia กรณี รัฐบาล คสช. องคมนตรี และกลุ่มชนชั้นสูง กล่าวหานักการเมืองทุจริตคอรัปชั่น โดยเฉพาะอาศัยโครงการประชานิยมเพื่อตักตวงผลประโยชน์และอำนาจว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ และหากเป็นอย่างนั้นจริง คงไม่มีประเทศไทยเหลืออยู่บนแผนที่โลกแล้ว เพราะกว่า 80 ปีที่ผ่านมา ถูกพิสูจน์แล้วว่า นักการเมืองเข้ามาบริหารการเมือง ให้ประเทศสามารถดำรงอยู่ได้จนถึงปัจจุบันนี้ อย่ามองว่า นักการเมืองเป็นคนเลวเสียทั้งหมด ทุกกลุ่มคน มีทั้งคนดีและไม่ดี คนในกองทัพ ที่เป็นคนเลว ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่ามีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ส่วนเรื่องประชานิยมของนักการเมืองนั้น ขออธิบายว่าเมื่อประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ นักการเมืองมีหน้าที่ทำให้ประชาชนพอใจหรือให้ มีความสุขในการดำเนินชีวิต "ถามหน่อยเถอะว่า แล้วที่รัฐบาลทหารทำอยู่เวลานี้ ไม่เรียกว่าประชานิยมหรอกหรือ คือถ้าคิดจะไม่ให้มีนักการเมืองเข้ามาบริหารการเมือง จะให้ทหารปกครองบ้านเมืองแทน ถ้าทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข มีสิทธิเสรีภาพ ก็เห็นด้วยที่จะไม่ต้องมีนักการเมืองเข้ามา บริหารบ้านเมือง" นายวีระกานต์กล่าวและว่า หนทางแก้ปัญหาความขัดแย้ง สร้างความปรองดอง ต้องให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ไม่ใช่พูดเอาดีใส่ตัวอยู่เพียงฝ่ายเดียว
มีพี่น้องผู้อ่านทางบ้านได้อ่านเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญของไทย ที่ผมวิเคราะห์ไว้ในตอนที่ ๓ แล้วบอกว่ายาวไปอ่านไม่ไหว
ผม จึงต้องขอกราบ ขออภัยด้วย และขอกราบเรียนว่า ผม จะเขียนให้มันสั้นไม่ได้เพราะผม มีเหตุผลของผมดังนี้:
๑. ที่ลงสั้นๆไม่ได้ เพราะผมต้องการให้คนไทย ได้อ่าน ได้เห็นหลักการร่างรัฐธรรมนูญ ในระบบกฏหมาย ที่เขาใช้ในระบบกฏหมายลายลักษณ์อักษร
๒. แล้วเปรียบเทียบ กับ ร่างรัฐธรรมนูญของเรา เมื่อนายบวรศาก นักกฏหมายหญ่าย ร่างเสร็จ แล้วนำเสนอเข้าไปในสภาปฏิรูปฯ
๓. แล้วมีการขอให้ทำประชามติโดยปวงชน ตรงนี้ผม ต้องขอถาม ด้วยคำถามว่าว่า มีข้อเรียกร้องติดมา กับ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ของไทย ใช่หรือไม่?
๔. คำตอบ ก็คือ มี นี่คือข้อเรียกร้อง ที่ติดมาด้วยกับ ร่างรัฐธรรมนูญ
๕. เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ร่างรัฐธรรมนูญ ที่นำเสนอมา ย่อมต้องตกเป็นโมฆะไปในทันที ตามกฏเกณฑ์ของ กฏหมาย ที่ผมนำมาลงให้ดูนี้
๖. ยิ่งไปแก้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เพื่อให้ไปรองรับ การทำประชามติ ตามมาด้วย มันเป็นเรื่อง ที่เลอะเทอะไปกันใหญ่ และ
๗. คนไทยส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้ว่านี่ คือ การก้าวล่วงเข้าไปทำผิด กฏเกณฑ์สำคัญ ในการร่างรัฐธรรมนูญ ในระบบกฏหมายลายลักษณ์อักษร และ
๘. ยิ่งทำให้เกิดความ เป็นโมฆะไปกันใหญ่ ขอให้พี่น้องชาวไทย ทั้งหลาย โปรดพิจารณากันด้วย ตรงจุดสำคัญนี้
๙. เมื่อร่างรัฐธรรมนูญ ตกเป็นโมฆะแล้ว คุณ ว่ามีความจำเป็นหรือไม่? และเพียงใด? ต่อการนำร่างรัฐธรรมนูญ ที่เป็นโมฆะ ไปให้ประชาชน คนไทย ลงประชามติ
๑๐. คุณคิดว่า:
๑๐.๑. เขา ดูถูก ความเฉลียวฉลาด และ ความเป็นคนไทย หรือไม่?
๑๐.๒. เขา กำลังดูถูก ดูหมิ่นคนไทยทั้งหลายว่า โง่เง่า เตาตุ่นหรือไม่?
๑๐.๓. เขา ดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของเรา ที่ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ปีค.ศ.1948 ที่ได้บัญญัติรับรองว่า คนไทย ก็มีเหมือนพี่น้องร่วมโลกใบนี้ ในประเทศอื่นๆ หรือไม่?
๑๑.ผมต้องขอให้พี่น้องคนไทย ที่ได้อ่านข้อเขียนี้ ช่วยกันพิจารณา โดยถ่องแท้ด้วย.
..อย่าปล่อยให้ไร้บุบผาฝืนหักกิ่ง..
"ภูเขาสูงมิขวางกั้นเมฆขาว
ป่าไผ่ไม่เป็นอุปสรรคธารน้ำใส"
หลังรปห.ใหม่ๆทุกพรรคการเมืองถูก
บีบคอและจำรับปากทุกเงื่อนไข
ถือเป็นธรรมดา ต้นมค.58ทุกพรรค
การเมืองปชต.เริ่มถ่วงเวลา(กั๊ก)
23มค.ยิ่งรักถูกแขวนติดตามด้วย
ส่งอัยการทันที24usเข้ามาจึงเป๊ก/
ตามด้วยสมศักดิปริศนา(ชาติไทย)
โดนมั่ง สถานการณ์รัฐทหารทรุด
เสื่อมถอยลงตลอด จำต้องรีบปล่อย
รธน.ตามสูจน์ก้าวตรงไม่ได้บางครั้ง
จึงก้าวเฉียง พร้อมพงศ์จึงโดนเชือด
ในยกสองนี้ คือก่อนเลือกตั้งต้อง
ทำลายพรรคที่ไม่คล้อยตามให้สิ้น
"ช่วงเวลาของยามนี้"
หากพรรคการเมืองฝ่ายปชต.ไม่
ฉวยโอกาศออกมาวิพากษ์รธน.
ตามหน้าที่ที่อาสามารับใช้ปชช.
ผลจะพรรคการนั้นจะสูญหายจาก
หัวใจปชช.ที่เคยหนุน พรรคชาติ
ไทยถิ่นข้าวเสียหายมาก และโกหาร
คือผู้อาวุโสทางเมืองในวันนี้...
จะกล้าคิดสั้นหยวนๆต่อทหารอีกไม๊
ไม่กี่วันที่ผ่านมายิ่งรักได้ไปวันเกิด
บรรหารคงมองตาก็รู้ใจบรรหารได้
ชูไฟฉายเปิดแสงก่อนมอบให้
"ไว้ส่องทาง" การชุมนุมฝ่ายการเมือง
ปชต.ครั้งนี้สื่อนัย? วันนี้วันเกิดสมชาย?
ไม่ว่ากระทำการใดหากไม่ฉวยคว้า
ในช่วงที่เหมาะสมอาจจะสายเกินแก้
มิใช่ไปโทษมึงโทยกูหลังปชช.ทิ้งขว้าง
ในช่วงบุบผาเริ่มผลิต้องรีบคว้าหาก
บุบผาร่วงแล้วคุณจะเสียโอกาศน่ะ
นักเลือกตั้งทั้งหลาย...
หนังสือเศรษฐกิจมิเคฮิชิมบุนวิจารณ์
สมคิด"ใช้นโยบายทักซิโนเต็มตัว
แต่ไม่ได้ผลเพราะในยุคนั้นมีทีมงาน
เป็นดรีมทีม แต่ยุคนี้ไม่มีตัว ทีมงาน
อาศัยแต่ข้าราชการ และนานาชาติ
ไม่คุยด้วยเนื่องจากรัฐบาลมาโดยไม่
ถูกต้อง" อีกนัยหนึ่งต้องการพูดดักคอ
รัฐบาลญี่ปุ่นเองด้วยกลัวใจอ่อน
ญี่ปุ่นลงทุนในไทยเป็นล้านล้าน..
คนปชต.ในญี่ปุ่นต้องการบีบสั่งสอน
เผด็จการทหารไทยกรณีนักข่าวตน
โดนยิงซึ่งๆหน้าและไม่ได้รับความ
ยุติธรรม...
พม่าได้จับฝ่ายต่อต้านขังคุก5-6,000
คนที่โดนฆ่าและหนีไม่มีตัวเลข..
เผด็จการทหารไทยชอบโมเดลพม่า
ขอถามว่าจะกล้าจับเสื้อขาวติดคุกไม๊
และกล้าจับขยายวงให้มากไม๊
กล้าๆหน่อยอย่าเอาแต่เห่าในท่าม
กระแสต้านทหารนับวันยิ่งร้อนแรง
คนพม่าถูกแช่แข็ง3-40ปีแต่ไทย
ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะตลอด.
จึงไม่เหมือนกันแน่...
เกาหลีเหนือคนหนีออกตลอดกลัว
เหลือแต่ปืน จึงล้อมรั้วด้วยทหาร
ตลอดชายแดนและออกกฎครอบ
ครัวไหนมีคนหนีออกไปจะจับที่เหลือ
ขังคุก แต่ดาบตัดทุกสิ่งได้เว้นตัดใจ
ทุกวันนี้คนยังหนีออกตลอด ลุกลาม
ถึงทหารยามหนีด้วย ..
กรณีเอราวัณ ทหารคงหาทางลงยาก
อาจแถลงจบดื้อๆแล้วลืมมันซ่ะ
ไม่มีหลักฐานจากราชสงศ์มาโยง
เพราะมันรีบทำลายหลักฐานหมด
สิ่งนี้จึงขัดแย้งกันเองกับเมื่อวาน
ซึ่งพยายามสร้างหลักฐานใหม่
ขอข้ามเรื่องนี้มันเอาพวกพูดถึง
แรง(กลัวความจริงหากสังคมรู้
ว่าพวกกูทำเอง จะยิ่งทรุดหนัก
ทางสังคม)
ธีระชัยเป็นผบ.ออกรูปนี้ไอ้โง่ขาลอย
สองพี่น้องถูกประวิทย์ยึดปืนคืนแล้ว
ผลคงไม่กี่เดือนไอ้โง่ถูกเปลี่ยนตัว
นี่คือแพะตัวที่๑แห่งความผิดพลาด
นำหายนะต่อปทท.สามวันนี้ยุดทำ
เหี้ยมขู่นักปชต.แรงแข็งกร้าวหวัง
กู้หน้าอยู่ยาวแต่ไอ้โง่ก็โง่วันยังค่ำ
ว่าที่มันเสื่อมเพราะนิสัยนี้แหละ
ครั้งกปปส.ที่มันโผล่มาขู่ยิ่งรัก
เป็นระยะนั้นไม่เหมือนกับ15เดือนนี้
มันได้แก้ผ้าตัวเองทุกวันโชว์โง่+
อันตพาลไม่สมตำแหน่งนายกปทท.
และหัวหน้ากองทัพ ได้ดีเพราะประจบ
กระล่อนตามหลังต่อยิ่งรัก_ส้ม_
วันที่22พค.57
ต่อประวิทย(ข้ามหัว)ต่อปรเมศ
ยกมือไหว้แต่ดัดหลังตั้งทหารฝ่าย
ตนข้ามฝ่ายปรเมศ๑กย.ปี57
ดังนั้น เราจะเห็นยุดจะ
เป็นหมาหัวเน่าในไม่ช้าคนอสัตย์
กระล่อน เมื่อหมดปืน ใครก็ทิ้ง
ใครก็ปลีกห่าง จุดตายหากศาลun
เรียกตัวยุดและคณะ5คนไปให้ปากคำ
ที่ศาลun จากคำฟ้องของตุรกี
"ขึ้นต้นด้วยอุยกรูย์ลงท้ายด้วยอุยกรูย์
น่ะ"ไอ้โง่
"มาจากแห่งหนใด
คืนสู่ถิ่นสถานไหน
ยามฝันมิใช่ไม่มี
เวลาตื่นมิใช่ได้ครอบครอง"
หมดยก
วันนี้ปาล์มราคา2.50฿
หากปาล์มราคา5.00฿นอนหลับ
สบายหากราคา4.00฿พออยู่ได้
3.00฿ลมหายใจรวยริน
2.50฿หลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี
=รัฐทหารมอบของขวัญด้วย
ไม้จันแด่ชาวใต้เพื่อนแท้มิตรอัน
ประเสริฐ.
อามิตรพุทธ
ศาสตราจารย์ พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia เกี่ยวกับการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ของ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ว่าจะรับ หรือไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญก่อนที่จะนำไปสู่การทำประชามติหรือไม่ว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วย และไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะที่มีที่ไม่ชอบธรรมและไม่เป็นประชาธิปไตย และเชื่อว่า สนช.จะคว่่ำ หรือ รับ คงกำลังประเมินว่าอย่างไหนจะได้เปรียบกว่ากัน ถ้า รับ ก็ต้องมั่นใจว่า จะผ่านขั้นการทำประชามติ แต่หาก ไม่รับ นั่นแสดงว่าประเมินแล้วว่าจะไม่ผ่านในขั้นประชามติ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า สนช.จะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คสช.และทหาร ก็จะยังคงคุมอำนาจ คุมประเทศต่อไปอย่างน้อย 2-3 ปี และหากทุกอย่างผ่านไปได้ทั้งหมด ไปสู่การเลือกตั้ง อำนาจทหารก็ยังคงอยู่กับการเมืองไทยต่อไปไม่น้อยกว่า 5 ปี ดังนั้น ทางเดียวที่ฝ่ายประชาธิปไตยทำได้คือ การไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ในขั้นการทำประชามติ แม้ว่าจะยังทำให้ คสช. สนช.ยังอยู่ในอำนาจต่อไป แต่จะส่งผลกระเทือนอย่างรุนแรงต่อ กองทัพ และ คสช.
ขณะนี้ประเทศไทยของเรา กำลังเผชิญกับ "สงครามการก่อการร้าย" ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจาก "อวิชา" หรือ Ignorance ที่ครอบคลุมจิตใจ กลุ่มคนที่ใช้อำนาจการปกครองประเทศนี้ โดยมิชอบ แล้วทรนงตนคิดว่า "กูรู้แล้ว" "กูฉลาดที่สุดในประเทศนี้" ผลเป็นไง? ครับ นี่แค่บททดสอบนะ ครับ
ผมขอให้พี่น้องประชาชน ช่วยกันศึกษา กรณีตัวอย่างจาก "คดีระเบิดราชประสงค์" ให้ดีๆ อย่างลึกซึ้ง ผมมีความเห็นในกรณีนี้ ดังต่อไปนี้:
๑. ผมเอาคดี Abu Eain v. Wilkes มาลงแค่คดีเดียว สร้างผลกว้างไกล ลบล้างความคิดเดิมๆ หมดเลยหรือ? ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
๒.แต่ไม่อยากจะบอกว่า การจับกุมคนร้ายนั้น ต้องมีพยานหลักฐาน ที่แม่นมั่น ไม่ใช่ใช้ "มโน 70%" และ พยายามสร้างพยานหลักฐานอีก 30%" เพื่อเชื่อมโยง นะครับ
๓. ถ้าเป็นคนร้าย ที่ทำระเบิดจริง ต้องรู้สัญชาติ ที่แท้จริงของเขาให้ได้ ส่วนใหญ่ จะมาจาก West Bank และ ต้องสังกัดองค์กร อัลฟาต้า (Al Fatha) ส่วนหนึ่งของ PLO เดิม และ
๔. คนพวกนี้ หากประกอบระเบิด และ ตั้งเวลาเอาไว้แล้ว แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระเบิด จากสหรัฐอเมริกา หรือ ประเทศต่างๆในยุโรป ก็ไม่สามารถแก้ไขเวลา ไม่ให้เกิดการระเบิด
๕. คนพวกนี้ส่วนใหญ่มาจาก Jordan มีความชำนาญอยู่ในสายเลือด หรือ จะพูดได้ว่า มี Gift from God ในเรื่องระเบิดเวลา
๖. ต้องถามคณะ คสช. เป็นคำถามปฐมฤกษ์ว่า รู้จักกับคำว่า "Muslim หรือ Islam เพียงใด?"
๗. คำๆเดียวนี้ รัฐ Israel หรือ ชาว Israeli ต้องใช้เวลาศึกษา Ideology ของถ้อยคำนี้ ร่วมสิบปี ในขณะเกิดสงครามระหว่างยิว รบ อาหรับ
๘. ไม่ว่าในสงครามหกวัน หรือสงครามโยมคลิปปอร์
๙. อีกหนึ่งคำ ที่คนไทยต้องเรียนรู้ ให้ลึกซึ้ง ตีความให้ออก คือ คำว่า "Brotherhood"
๑๐. ถ้า clue สองคำ ที่ให้ไปนี้ ศึกษากันเพียงผิวเผิน ผมว่า ประเทศไทย จะโดน อีกหลายสิบลูก เลย ผมขอชี้ และคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า.