When the mainstream media are being influenced and dictated by the ruling elites and the tyrannical royal government, this is a blog that collects and presents resources on Thai politics from alternative and foreign sources.
Saturday, November 5, 2016
กระชากหน้ากาก ปอบเปรตดูดเลือดชาวนา
ทฤษฎีปฎิวัติเพียงดิน ต้องแทงตรงหัวใจให้ทะลุหลัง...ดร. เพียงดิน เขียนไว้เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2553
Friday, November 4, 2016
CP CP CP ซีพีตะครุบเทสโกโลตัสคืน 3แสนล้าน แล้วยึดค้าปลีกไทยเบ็ดเสร็จ
CP CP CP
ซีพีตะครุบเทสโกโลตัสคืน 3แสนล้าน แล้วยึดค้าปลีกไทยเบ็ดเสร็จ
เป็นเรื่องที่คาดไว้ล่วงหน้าแล้ว และก็เป็นกระแสข่าวที่หนาหูทั้งในและต่างประเทศ ที่คุณธนินทร์ เจียรวนนท์ CEOของซีพี เตรียมประกาศซื้อTesco Lotus ในไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยเงิน 3 แสนล้าน
มีการวิเคราะห์ว่าสถานการณ์ธุรกิจการเกษตร,ค้าปลีกนั้น เท่ากับเครือเจริญโภคภัณฑ์กรุ๊ป หรือ CP คุมการเกษตรหมดทั้ง ข้าว หมู ไก่ กุ้ง อาหารสัตว์ ปุ๋ย พืช พลังงาน
นอกจากนั้นยังคุมเทคโนโลยีสื่อสาร ทั้งโทรบ้าน,โทรมือถือ,internet และมีสื่อในมือ คือ truevision
สรุปคือ CP จะคุมระบบค้าปลีก+ค้าส่ง ทั้ง modern trade และ traditional trade ครบวงจร โดยมี 7-11 ; makro และ Lotus
ก่อนหน้านี้คอลัมน์ Market-Think ของสรกล อดุลยานนท์ เรื่อง CP BANK? ในประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ก็วิเคราะห์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ข่าว"เซเว่นอีเลฟเว่น" และกลุ่มทรู ซื้อหุ้น LH BANK ([จากกลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ : L&H)
เป็นจริง เราคงได้เห็น "เกมใหม่" ในแวดวงการเงิน เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา "ซีพี" มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจหลายครั้ง
*ครั้งแรก คือ การเข้าซื้อหุ้นของ "ผิงอัน" บริษัทประกันรายใหญ่ของจีน ซึ่งเสน่ห์ของ "ผิงอัน" คือ เงินสดจากเบี้ยประกันที่นอนนิ่งอยู่ในบริษัท
**ครั้งที่สอง คือ การซื้อ "แม็คโคร" ของ "เซเว่นอีเลฟเว่น" ทำให้ "ซีพี" กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการค้าส่งและค้าปลีก
***และครั้งที่สาม คือ การดึง "ไชน่าโมบาย" ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของจีน มาถือหุ้นใน "ทรู"
ดังนั้น หาก "ทรู" และ "เซเว่นอีเลฟเว่น" ซื้อ LH BANK จริง จะเป็นการเคลื่อนตัวทางยุทธศาสตร์ของ "ซีพี" ครั้งที่ 4 ในรอบ 2 ปี
เพราะเซเว่นอีเลฟเว่น มีสาขาอยู่ 8,000 สาขา เป็นทำเลที่ดีที่สุดสำหรับตู้เอทีเอ็ม มี "เคาน์เตอร์เซอร์วิส" ที่สามารถรับจ่าย รับโอน รับจองตั๋ว ที่มีประสิทธิภาพยิ่ง
สรุปยอดรายได้เมื่อปีที่แล้ว รายได้ของ
..."เซเว่นอีเลฟเว่น" 284,760 ล้านบาท
...แมคโคร 129,780 ล้านบาท
รวมกันเป็นตัวเลขกลม ๆ ประมาณ 410,000 ล้านบาท หรือเดือนละ 34,000 ล้านบาท
เมื่อรวมโลตัสเข้าไปอีกรายได้ก็จะเพิ่มขึ้นแตะ 5 แสนล้านบาทในอนาคตไม่ยากนัก
ดังนั้นการซื้อเทสโก้โลตัสครั้งนี้จึงเป็นก้าวเดินการเทคโอเวอร์ครั้งที่ 4 ก่อนที่จะไปซื้อ LH BANK ในอีกไม่นานเป็นก้าวที่ 5
CPจะกลายเป็นเบอร์ที่เท่าไรของโลกไม่แน่ใจ
!!*!!
แต่จำได้เคยมีใครพูดว่า ผมสนับสนุนนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล มีอะไรผมรับผิดชอบเอง ประเทศเสียหายไปหลายแสนล้านบาท ทำไมเงียบเป็นเป่าสากเลยเถ้าแก่CP
เชียร์นโยบาย ค่าแรงสูง กับราคาข้าวสูง (2 สูง) ผลก็เป็นอย่างนี้ที่เห็น
......เศร้า
เศรษฐีไทยที่มารวยระยะ 50 ปีหลังนี้ ส่วนใหญ่ อาศัยอำนาจรัฐไปผูกขาด หรือเอื้ออำนวยธุรกิจตัวเอง
ใครๆก็คิดกินรวบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ แต่ในระบบเศรษฐกิจเสรี ไม่ง่ายที่ใครสามารถทำได้ อย่างแน่ๆถ้ารัฐบาลไม่ยอม
อเมริกาถึงกับออกกม.anti trust ขัดขวางการกินรวบเช่นนี้ ถ้าท่านธนินทร์แน่อย่างที่ทำในเมืองไทย ทำไมธุรกิจที่ฮ่องกง จีน จึงไม่เก่งแบบที่ทำในไทย
makro ที่จีนไม่ทำกำไร จะล่มเอา ธุรกิจเรื่องไก่ก็ไม่แน่แบบในไทย..รายย่อยทำได้ถูกกว่า
..สู้เขาไม่ได้
ทุกธุรกิจที่ทำนอกประเทศแค่อยู่รอด
เมื่อไม่มีอำนาจรัฐหนุน ท่านก็เป็นแมวน้อยเชื่องๆตัวหนึ่งเท่านั้น
..สำหรับผม ธุรกิจไทยที่แน่จริงข้ามโลกคือกระทิงแดงเท่านั้น
เพราะแข่งกับเขามือเปล่า ไม่มีรัฐช่วย
!!**!!
มีอีก
จำได้หรือไม่ว่าใครสนับสนุนให้รัฐบาลทักษิณปลูกยางในทุกภาค เพื่อส่งไปขายจีน โดยบอกว่าเป็น นํ้ามันบนดิน และเดินสายพูดเรื่องนี้อยู่หลายปี
พอยางล้นตลาด ราคาตก เงียบเลย ไม่เห็นแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย
..นี่เป็นอีกเรื่องของคุณธนินทร์
คนไทยไม่ได้ลืมง่ายหรอก
== > สมัยก่อน
ตอนทำ 7-11 ใหม่ๆ
CP ไม่อยากเสี่ยง ก็ชวนคนเข้ามาลงทุนหาซื้อที่ดินทำเลดีๆ พร้อมสร้างอาคาร แล้วมาเปิด 7-11 เอาของ CP ไปขาย
คนลงทุนก็ไปกู้หนี้ยืมสินมาลงทุน หวังกินกำไรจากที่CPแบ่งให้
ต่อมาระยะหนึ่ง CPก็เล็งเฉพาะร้านที่ยอดขายสูง กำไรงาม แล้วเข้าไปเสนอซื้อคืน เพื่อ CP จะทำเอง
ร้านไหนยอมขายก็จบไป
แต่ถ้าร้านไหนไม่ขายให้ CP...ลงทุนเอง เปิดร้านใหม่ในทำเลนั้น แข่งกันไปเลย เอาแบบให้เจ๊งไปข้างหนึ่ง = ถ้าร้านนั้นไม่ขาย มันก็จะซื้อที่ใกล้ๆ ออกมาตั้งแล้วแข่งกับเจ้าเดิม หน้าปากซอยบ้านผม มี 7-11 3ร้าน แต่ละร้านห่างกันไม่ถึง 50 เมตร
...........................
คนที่คิดกินรวบทุกอย่าง
ต้องพึ่งพาใช้อำนาจรัฐ
ทำให้สังคมเมืองและ ชนบทเป็นทาสมันตลอดกาล ฆ่าคนในสังคมทั้งเป็น
อย่างนี้หรือ เป็นคนที่น่ายกย่อง คำพูดดูสวยหรู
..เราจะอยู่กับชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน และ ผู้เลี้ยงสัตว์ อย่างพันธมิตร
..แต่ในใจ กูจะใช้สัญญาทาส มาควบคุมให้พวกมึงเป็นหนี้กูตลอดไป
กูมีแต่ได้กับได้
บริษัทอื่นเจ๊งหมด
โดยเฉพาะ ร้านค้า SME ทั้งหลาย
สนับสนุนเลี้ยงไก่ ไข่ ปลูกยาง
แล้วกูจะเป็นพ่อค้าคนกลางดูดเงินจากพวกมึงอีกที
ทุกวันนี้ เขาอาศัยอำนาจรัฐ สร้างเงื่อนไขให้รัฐบาลอนุมัติธุรกิจที่กำไรง่ายๆมากๆให้กับร้าน 7-11 เช่น
นาโนแบงคิ้ง
ขายยา
ขายล็อตเตอรี่
ตอนนี้ก็แย่งขายกาแฟสดกับร้านกาแฟแล้ว
ทุกอย่างอาศัยอำนาจรัฐทั้งนั้น
เจ้าตำรับ 7-11 ญี่ปุ่น
ยังต้องงงงวย มันทำได้อย่างไร
ตอนมี 7-11 ใหม่ๆ
คนขับรถลูกน้องเพื่อน ลาออก เอาบ้านไปจำนอง ดาวน์รถปิ๊คอัพ ไปวิ่ง fleet logistics ให้ 7-11
แค่ 1-2 ปี
Volume 7-11 สูงมาก
CP เลิกจ้าง ทำlogistics เอง
ลูกน้องเพื่อน บ้านติดจำนอง รถยังผ่อนไม่หมด ถูกลอยแพ
นี่แหละวิธีการสร้างอาณาจักรธุรกิจของCP
อาศัยคนอื่นลงทุนเสี่ยงขาดทุน
แต่หากได้กำไรดีจะ Take over
Cr.พท.พญ.กมลพรรณ
จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ 4 พ.ย. 59 ความจริงเบื้องลึก โครงการจำนำจ้าว (แถมด้วย ดร. เพียงดิน รักไทย)
https://youtu.be/bcAjaH171ck (สถานีองค์การเสรีไทยฯ)
โปรด Subscribe เพื่อติดตามสถานีเพื่อประชาธิปไตย อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
Thursday, November 3, 2016
เขาว่า แม่นมาก ! ทำนายจากวันเกิด
Wednesday, November 2, 2016
Fwd: มหาวิทยาลัยประชาชน Official sent you a video: ""มีชัย" ยืนยันโทษประหารซื้อขายตำแหน่งการเมือง"
|
Tuesday, November 1, 2016
เบื้องลึก กษัตริย์ภูมิพล คือ พระราชบิดาแห่งฝนเทียม โดย ดร เพียงดิน รักไทย (อัดเสียงต่อเนื่องแล้ว)
คนไทยเหลืออด รณรงค์ให้บอยค็อตต์เจ้าสัวธานินทร์
Monday, October 31, 2016
ประยุทธ์เตรียมการปิดประเทศ อยู่ยาว??? คนไทยยอมไหม?
ปฎิวัติสังคมไทย: ท่านจะช่วยเปลี่ยนสังคมไทยได้อย่างไร เพียงดิน
เพียงดิน
แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2009-03-17 20:56:03
messenger will be rejected"--Gandhi
มหาตมะ คานธี นักประชาธิปไตยผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกตะวันออก ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่
ท่านมีความจริงจะบอกแก่ผู้อื่น จงแบ่งปันด้วยความรัก มิเช่นนั้น ทั้งสิ่งที่อยากบอกและตัวผู้
บอกเอง จะถูกปฏิเสธ คำกล่าวนี้ สามารถนำมาปรับใข้ได้กับการเคลื่อนไหวปฎิวัติ
ประชาธิปไตยไทยอย่างยิ่ง แต่อาจจะต้องอาศัยความเข้าใจที่เหนือการมองแบบผิวเผินและ
อารมณ์อันคุกรุ่นสักหน่อย
ผมมีโอกาสนั่งดูคุณวิกรม นั่งพรรณาเรื่องปัญหาการเมืองไทยกับคุณสรยุทธ ในรายการจับเข่า
คุย เมื่อ 16 มีนาคม ศกนี้ (โปรดดูคลิ๊ปรายการออนไลน์ที่
http://video.gigchat.com/view_7d8167224d5eebc95cb8.html) จึงมีโอกาสได้
เห็นคนที่เคยมองทักษิณแบบสาดเสียเทเสีย คนที่เคยทรนงในตนเองมหาศาล อย่างคุณวิกรม
มานั่งนึกย้อนถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความแตกแยกทางการเมือง ผมพยายามจับน้ำ
เสียงของเขาว่า มีกระแสสีเหลืองและความทรนงอยู่มากน้อยแค่ไหน กลับพบว่า เหลือน้อย
เหลือเกิน กลายเป็นคนมององค์รวมของความเป็นคนร่วมชาติ กลายเป็นการมองความจริงบน
พื้นฐานของคนที่ปลงตกกับข้อมูลที่เห็น ก็น่าอยู่ล่ะครับ ข้อมูลที่เต็มตาตนเองจากการลงทุน
ส่วนตัวที่ถูกกระทบอย่างรุนแรงเงินหายไปนับสี่พันล้าน และการได้เห็นความเจริญเติบโตของ
คนเวียตนาม ที่ปริมาณการลงทุนจากต่างประเทศในช่วงปีที่ผ่านมาเหนือกว่าประเทศไทย
700% หรือมากกว่าเราเจ็ดเท่า!
วันนี้ คนไทยหลายคนที่ไม่ชอบบรรดาคนสีเหลือง ก็คงอดจะสะใจ สมน้ำหน้าไม่ได้ แต่นึกไป
นึกมา คนไทยคนหนึ่งจนลง ก็แปลว่าประเทศไทยเราสูญเสียไปด้วย เพราะเราทั้งหลายอยู่ใน
ข้องเดียวกันครับ ปลาตายหนึ่งตัวมันก็เป็นไปทั้งข้องแน่ หากเราต้องอุดอู้อยู่ด้วยกัน ก็คงต้อง
ตายเพราะน้ำเน่าแน่ เพราะอย่างไรก็ตาม เรายังคงผูกพันเป็นพี่น้องร่วมชาติกัน ตัดกันไม่ขาด
หากคิดให้ดี เราจะเห็นว่า ท่าทีที่มองปัญหาด้วยสติเพิ่มขึ้น และด้วยอคติที่ลดลงพร้อมกับ
อัตตานี้แหละ ที่จะทำให้เราสื่อสารถึงกันได้ดีขึ้น สื่อสารด้วยความจริงที่ใสและตกตะกอน และ
สื่อถึงใจกันได้ง่ายขึ้น ผมนั่งฟังรายการนี้ด้วยความคิดว่า บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่ทุกฝ่ายในบ้าน
เมืองเรา ต้องถอยกันคนละก้าว แล้วคิดพิจารณาทบทวนหน้าหลัง แยกความจริงออกจากอคติ
มองคนไทยทุกฝ่ายแบบคนไทยด้วยกัน มองผลประโยชน์และความชอบส่วนตนให้น้อยกว่าผล
ประโยชน์ร่วมกันในฐานะคนร่วมชาติ แล้วก็มองให้ออกถึงผลของสิ่งที่เราได้ทำมาแล้วและ
กำลังทำอยู่
เขียนมาอย่างนี้ เหมือนกับว่าผมจะไม่มีอคติ และไม่มีจุดยืน เปล่าหรอกครับ ผมมิอคติและมีจุด
ยืนชัดเจนมั่นคง คือผมเห็นว่า เสรีประชาธิปไตยเท่านั้น ที่จะเป็นทางออกระยะยาวที่แท้จริง
ของสังคมไทย พวกอำมาตย์ต้องยอมรับว่าตนเองเห็นแก่ตัว รักตัวเองมากเกินไป ไม่เห็นหัว
คนอื่น โลภมากอยากได้เกินกว่าที่ตนควรจะได้ และไม่ยอมให้คนอื่นได้รับผลของการบริหาร
อำนาจและจัดการผลประโยชน์ตามระบอบที่ใช้อยู่ จนไม่สนว่าวิธีการจะทำร้ายประเทศชาติ
และตนเองเพียงใด ขอเพียงให้สมที่ตนอยากได้ จนการกระทำทุกอย่างที่ผ่าน ๆ มา กลายเป็น
ความหลงผิด เชื่อผิด ๆ ว่าตนรักชาติ เชื่อผิด ๆ ว่าตนทำดีมากกว่าคนอื่น เชื่อผิด ๆ ว่าตนรู้ดีกว่า
ชาวบ้าน เชื่อผิด ๆ หรือหลงผิดว่า ตนเองทำประโยชน์ด้วยการเสียภาษีให้บ้านเมืองมากกว่าชาว
บ้าน จึงควรมีสิทธิมากกว่า ฯลฯ ผมเชื่อว่าพวกอำมาตย์และคนสีเหลือง ทำบาปกรรมให้กับ
บ้านเมืองไว้มาก แต่ผมก็เข้าใจว่า คนจำนวนมากเป็นแค่เบี้ยให้เขากำกับ โดยผู้กำกับตัวเป้ง ๆ
มีไม่กี่ตัวไม่กี่กลุ่มหรอก พอนับหัวได้ ดังนั้น เราจึงควรแยกให้ออก ว่าใครเป็นใคร และการจะ
ดำเนินการใด ๆ ก็ต้องให้อยู่บนความเข้าใจตรงนี้ได้
ครับ ผมมีอคติ เพียงแต่ผมเชื่อว่ามันไม่ได้เกิดจากความโลภ โกรธ หรือหลงใด ๆ ผมเชื่อว่ามัน
เป็นฉันทาทิฎฐิ ไม่ใช่มิจฉาทิฎฐิ เพราะ เป็นสิ่งที่อยู่บนเจตนาดี หวังดีแด่ทุกคนทุกฝ่าย แม้ว่าจะ
มีความไม่พอใจบางคนบางกลุ่มที่มีส่วนทำให้บ้านเมืองย่ำแย่ขนาดไหนก็ตาม การคิดก็ต้อง
พยายามคิดเผื่อให้พวกเขาด้วย เพราะเราไม่สามารถแก้ปัญหาใด ๆ ด้วยตัวเราเพียงลำพัง
โดยที่คนอื่นไม่ยอมแก้ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในอำนาจ คนที่เคยได้เปรียบ
Paolo Freire นักคิดทางปรัชญาการศึกษาสำหรับผู้ถูกกดขี่ กล่าวว่า ผู้กดขี่นั้น นอกจากเป็น
คนที่มีจิตใจคับแคบกดขี่เอาเปรียบและมองไม่เห็นผู้อื่นเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับตนแล้วนั้น แท้
จริงแล้วยังเป็นคนอ่อนแออย่างยิ่ง พวกนี้อ่อนแอและกลัวจะสูญเสียความได้เปรียบ กลัวจะถูก
เอาคืน กลัวการเปลี่ยนแปลง และกลัวต่าง ๆ นานา ดังนั้น พวกนี้จะไม่สามารถช่วยตัวเองให้
หลุดพ้นจากจิตใจที่ต่ำและเคยชินกับการเอาเปรียบหรือกดขี่ได้ คนที่จะสามารถช่วยตัวเองให้
หลุดพ้นจากการมองคนอื่นหรือถูกมองว่าเป็นทาสไพร่ต้อยต่ำกว่าตนและจากการกระทำการ
เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เคยถูกกดขี่มาก่อนเท่านั้น ดังนั้น เราจึงสังเกตุเห็นได้
ว่า คนอย่างอภิสิทธิ์ แม้ว่าจะได้เปรียบทางการศึกษามากปานใด ได้อภิสิทธิ์ในชีวิตมามาก
เพียงใด เขาก็จะไม่สามารถเห็นในสิ่งที่นายกทักษิณเห็น ไม่สามารถพูดออกมาจากหัวใจที่เข้า
ใจชีวิตความเป็นมนุษย์ได้อย่างคุณณัฐวุฒิ และเมื่อเรานึกกลุ่มคนในสถาบันพระมหากษัตริย์ที่
ถูกป้อยอ เอาใจด้วยคำและการกระทำ จนแทบไม่เป็นมนุษย์อยู่แล้วนั้น พวกเขายิ่งต้องการ
ความช่วยเหลือจากพวกชาวบ้านร้านช่อง คนเดินดินกินข้าวแกงอย่างพวกเรา หรือจะยก
ตัวอย่างเช่น พลเอกเปรม ซึ่งเคยชินอยู่กับระบบที่มีลูกน้องคอยเลียแข้งเลียขา และยิ่งขึ้นไป
อยู่คู่ราชบัลลังก์ เขาก็ยิ่งไม่สามารถรู้สึกถึงความเป็นคนเดินดินได้เหมือนเดิม เขาต้องการ
ความช่วยเหลืออย่างยิ่ง เมื่อมองถึงคนอย่างสนธิ ล็มทองกุล นี่ก็ยิ่งน่าสงสาร เพราะเขาเป็น
คนทะเยอะทะยานและใช้พรสวรรค์ตนเองในทางที่ผิด คือสร้างเครื่อข่ายอำนาจและขยาย
อำนาจออกไปเพื่ออิทธิพลส่วนตัวและการสร้างแผนคอยแบล็คเมล์ผู้คนเพื่อสู่อำนาจ เมื่อทำ
สำเร็จ เขาก็หลงตัวเองจนยอมรับที่จะแพ้ใครไม่ได้ ความโกรธ เกลียด โลภ และหลงของเขา
จึงหนักและแรงเกินกว่าจะเยียวยา เขาเป็นเหมือนคนเป็นโรคมะเร็งทางศีลธรรมขั้นสุดท้ายแล้ว
นะครับ ไม่มีทางช่วยตนเองได้ หรือจะมองนักธุรกิจอย่างคุณวิกรมนี้เล่า ประสบการณ์การ
ต้องต่อสู้กับระบบที่กดขี่ชีวิตเขาอยู่ ทำให้เขาอาจจะเรียนรู้อะไรได้ดีขึ้นและง่ายกว่า แต่ด้วย
สันดานการขี่ผู้อื่นมามาก เขาเองก็คงยังต้องการได้รับการปลดปล่อยต่อไป และคนที่จะปลด
ปล่อยคนอย่างพวกนี้ได้ดีที่สุด ไม่ใช่ใครครับ ชาวบ้านร้านช่อง หรือคนชั้นกลางถึงชั้นสูงที่มี
หัวใจเพียงดิน เคียงรากหญ้านั่นเอง เพราะคนพวกนี้ ผ่านการตรากตรำจ่ำทนมามาก เขามีความ
เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกชา อันเป็นธรรมสำหรับพรหม หรือธรรมสำหรับผู้นำ เสียงของ
คนรากหญ้าหรือคนที่สนับสนุนคนยากคนจน ที่อยู่บนรากฐานความรัก หรือพรหมวิหารสี่นี้
แหละครับ ที่จะช่วยให้คนที่เคยกดขี่ได้สำนึก ได้เรียนรู้และปรับตัวในที่สุด
แต่การจะทำอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในระยะที่เรายังเผชิญหน้า และฝ่ายผู้กดขี่ยัง
ไม่รู้สึกถึงผลกรรมของพวกเขาโดยตรงมากพอ และยังมีจิตใจโหดเ*****้ยมที่จะทำร้ายชาวราก
หญ้าข้าติดดินในสายตาพวกเขา แต่ก็หวังว่า คนที่อยู่เบื้องหลังม๊อบ คงเรียนรู้ได้จากความ
เสื่อมเฉพาะตนและการสูญเสียทรัพย์สินตลอดจนความสุขและสันติในใจของตนไปมากพอ
แล้ว ส่วนนักธุรกิจและกลุ่มผลประโยชน์ทั้งหลายทีรวมหัวกันทำการอันเป็นปฎิปักษ์ต่อการ
พัฒนาบ้านเมืองและการค้าขายกับเพื่อนร่วมโลก ป่านนี้คงมิต่างจากคุณวิกรมมากนัก ส่วนคนสี
เหลืองที่เป็นชาวบ้านหลงผิดนั้นเล่า ก็คงเริ่มได้คิด ว่าสิ่งที่เคยหลงมานานนั้น มันเป็นยาพิษที่
กำลังออกผลร้ายแรง แต่ก็มีหลายส่วนของคนที่มีจิตใจกดขี่ผู้อื่นที่ยังคงจมปลักอยู่กับความ
โลภ โกรธและหลง และยังมีจิตใจหยาบกระด้างและรุนแรงอยู่ คนพวกนี้แหละที่เป็นโจทย์ให้
เราต้องแก้ เราต้องการให้เขากลายเป็นคนมีสติที่อุดมด้วยเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา ที
สอดคล้องกับแนวทางแห่งเสรีประชาธิปไตย การดุด่าว่ากล่าว การประจาน การทำร้ายรุนแรง
ฯลฯ ย่อมไม่ใช่วิถีที่ถูกต้อง ย่อมไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง การให้อภัยจังเป็นสิ่งที่ยากเหมือน
ยาขมที่พวกเขาคนสีแดง ที่มีแต่ยอม ยอม ยอม โดยไม่ใช่เพราะเราโง่ แต่เพราะเราสงสาร
ประเทศชาติ เราคิดมากกว่าพวกที่จิตใจหยาบกระด้างชอบกดขี่เอาเปรียบเหยีบบย่ำต่างหาก
แต่เราก็ต้องให้อภัยและรักษาสิ่งที่เราอยากให้เกิด คือ เมตตา กรุณา มิทิตาและอุเบกขาและ
อื่น ๆ อีกมากมายที่เราต้องมีในสังคม เพื่อให้สังคมเดินหน้าต่อไป ดังที่ท่านคานธี ได้กล่าวไว้
ว่า
"We must become the change we want to see."
เราต้องเปลี่ยนตัวเราให้เป็นอย่างที่เราใฝ่ฝีนอยากเห็นก่อน
นั่นคือ หากเราอยากให้สังคมสันติสุข เราต้องมีสันติสุขในตัวเองและแสวงสันติสุขก่อน
และนี่คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งใหญ่ที่คนสีแดงและแกนนำทำถูก คือเราเอาอหิงสธรรม เป็นเครื่องชี้
นำการต่อสู้ เราต้องรักษาตรงนี้ไว้ให้ดี เพราะการฆ่าฟันเมื่อเริ่มแล้ว มันจบยาก การเริ่มมันไม่
ยากนะครับ แต่การเลิกนั้น มันจะยิ่งยากเป็นร้อยเท่าทวีคูณ
คนที่เข้มแข็งจริง ๆ เท่านั้นที่จะให้อภัยได้ นี่ก็เป็นสิ่งทีท่านคานธีกล่าวไว้ เราต้องถามตัวเรา
เองว่า เราให้อภัยคนที่อยู่เบื้องหลังม๊อบได้ไหม? เมื่อให้อภัยแล้ว เราจัดที่จัดทางให้เขาอยู่พอ
สมฐานะและไม่มาเป็นยาพิษให้กับระบอบได้ไหม? เราให้อภัยคนสีเหลืองที่หลงผิดได้ไหม?
เราให้อภัยนักการเมืองที่ทำผิดชั่วได้ไหม? แม้ว่าเราไม่สามารถยกความผิดให้กับใครได้ แต่
เราสามารถลดความรู้สึกโกรธแค้น ลดการก่นด่าอย่างไม่สร้างสรรค์ แล้วหันมามีบทสนทนา
ร่วมกันบนพื้นฐานพรหมวิหารสี่ให้ได้ เมื่อเรามีความจริงเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาที่ทำให้เมือง
ไทยเราก้าวมาเกือบแปดสิบปีแบบปลงทาง เมื่อเรารู้ว่าใครกดขี่ใครถูกกดขี่แล้วผลเสียมันเป็น
อย่างไร เมื่อเรารู้ว่า สังคมที่ให้เกียรติและความเสมอภาคมันดีอย่างไร และเมื่อเรามีความจริง
จากใจของคนที่เป็นผู้ถูกกดขี่ที่เข้มแข็ง เป็นธรรม มีอารยะและสูงกว่าอยู่ในตัวเราแล้ว เราก็
ควรพัฒนาและใช้มันให้เกิดประโยชน์ในเชิงสร้างสรรค์ที่สุด
เราทำอะไรได้หลายอย่างนะครับ ลองคิดดูแล้วจะเห็นว่า เรามีทางเลือกเป็นร้อยเป็นพันที่ทำ
ได้ ผมเขียนบทความที่พยายามฝากถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อให้ทราบว่า อย่าได้กลัว
ประชาชนคนไทย ขอให้ทรงสำนึกว่า สิ่งที่เป็นอยู่มันมีที่มาที่ไปที่เกี่ยวเนื่องด้วยความจำเป็น
ของการต้องปรับพระราชฐานะ ผมเขียนถึงอภิสิทธิ์ตั้งแต่สมัยการเมืองยุ่งเหยิง พยายามให้
อภิสิทธิ์กลายเป็นพระเอกด้วยการยอมรับความพ่ายแพ้และลงเลือกตั้งเมื่อก่อนการรัฐ
ประหาร ผมพยายามพูดกับทุกคนไม่ว่าสีไหน ให้เห็นมากกว่าแค่อารมณ์ความเชื่อและความ
รู้สึกส่วนตน หรือการมองประเด็นด้วยอคติ ซึ่งผมยอมรับว่ามันยาก และการให้อภัยมันยิ่งยาก
แต่ พี่น้องสีแดงอาจจะคิดว่า การยอมและพยายามทำดีนั้น มันจะไร้ผลและเราจะพ่ายแพ้ แต่
ท่านคานธีก็ได้สอนให้เราสร้างพลังมหาประชาชนควบคู่ไปด้วย และอหิงสานั้น เป็นวิธีการที่ไม่
รุนแรง แต่ผลมันรุนแรงยิ่งกว่าสิ่งใด และวิธีการมันมีมากมายยิ่งกว่าสะเก็ดระเบิดปรมณูด้วย
ซ้ำ เราต้องฉลาดที่จะทำสิ่งเหล่านั้นไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การก้าวไปสู่การสร้างมิตร สร้าง
ความเข้าใจ สร้างความรู้สึกว่าศัตรูทางความคิดแต่เป็นเพื่อนร่วมชาตินั้นเป็นพวกเรา มากกว่า
เน้นคำว่าพวกมัน และอะไรอีกมากมายที่เราทำได้ มันเป็นทางที่วิเศษที่สุดที่เราทำได้ ยิ่งเรา
ทำกันจนเป็นนิสัยและเป็นวงกว้าง มันยิ่งจะเกิดผลชัดเจน หากเรารอคอยจนเจ็บปวดและกลัว
ว่าจะต้องเจ็บปวดซ้ำซาก ต้องสูญเสียและล้มหายตายจากกันอีก ก็จงคิดไว้ว่า ไม่มีใครทำร้าย
เราได้แท้จริงหรอก หากเราไม่ยอมและเราเข้มแข็งพอ ดังที่ท่านคานธีท่านพูดด้วยว่า
"ไม่มีใครทำร้ายเราได้ หากเราไม่ยอมให้พวกเขาทำร้ายเรา"
การเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในไทย ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ ในระดับที่หยาบ เราคงต้องดำเนินการ
อย่างที่เราทำ แบบดิบ ๆ แบบเผชิญหน้าด้วยเหตุผล แบบมีการถกเถียง แต่เราทำถูกแล้วที่เน้น
เหตุผลและเรียกร้องอารยธรรมเป็นที่ตั้ง แต่ในระดับที่ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อนและถาวรแล้ว ผม
เชื่อว่า ธรรมะของมหาตมะ คานธี ควรค่าแก่การใส่ใจพิจารณาและนำไปใช้อย่างยิ่ง ผมไม่หวัง
ให้ทุกท่านเข้าใจและเห็นด้วย แต่อยากเสนอเพื่อให้ทุกท่านได้คิด ทุกสิ่งที่ท่านตัดสินใจทำ
หรือไม่ทำ และวิธีการที่ท่านทำสิ่งใด ๆ นั้น มันมีค่าต่อการเปลี่ยนแปลงรอบตัวท่านเสมอ...
อย่าดูถูกพลังในตัวของท่าน จงใช้พลังอย่างสร้างสรรค์ มีสติ และอยู่บนรากฐานของความรัก
เถิด พี่น้องไทยทุกหมู่เหล่า
-----------------------------
แก้ไขล่าสุดเมื่อ 2009-03-17 20:56:03