Thursday, June 16, 2016

แผนปูทางรวบอำนาจยึดศาสนาจักร

แผนปูทางรวบอำนาจยึดศาสนาจักร



เพียงเพื่อต้องการตำแหน่ง "สมเด็จพระสังฆราช" มาเป็นของพวกพ้องตัวเอง เพื่อให้พระของตัวเอง ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจการครอบครองพระพุทธศาสนาในประเทศไทย คนกลุ่มหนึ่งถึงกับยอมที่จะทำลายพระพุทธศาสนาในทุกๆ ทาง เพื่อกำจัดคนที่ไม่ใช่คนของตัวเอง ไม่ใช่พวกพ้องตัวเอง และเพื่อให้มีเฉพาะพวกพ้อตนเองเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ครอบครองตำแหน่งสำคัญของศาสนาพุทธและมีอำนาจเหนือศาสนาจักรในประเทศไทย

โดยในจังหวะที่จะต้องมีการแต่งตั้งผู้ที่เหมาะสมที่จะเป็น "สมเด็จพระสังฆราช" นั้น "วอร์รูมห้องกระจก" ซึ่งในอดีตมีอิทธิพลต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทยอย่างมากผ่านการยึดโยงกับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชในอดีตที่ผ่านมา ได้พยายามที่จะสกัดกั้น "สมเด็จวัดปากน้ำ" พระผู้มีอาวุโสอันดับ 1 ไม่ให้สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช โดยพยายามป้ายสีความผิดให้ในทุกๆทาง โดยเฉพาะในประเด็นเรื่อง "รถหรู" ในพิพิธภัณฑ์และการเป็นอดีตพระอุปัชฌาย์ของพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย 

ซึ่ง "วอร์รูมห้องกระจก" ได้อยู่เบื้องหลัง เคลื่อนไหวผ่าน "พุทธอิสระ" อดีตแกนนำ กปปส.ซึ่งเคยระดมผู้คนมาชุมนุมเพื่อปูทางให้ คสช.รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 มาแล้ว ให้เป็น ตัวเดินเกม -เปิดประเด็นและสร้างกระแสผ่านสื่อ โจมตีมหาเถรสมาคม พระเถระชั้นผู้ใหญ่ เพื่อทำลายภาพลักษณ์มหาเถรสมาคมและสมเด็จวัดปากน้ำ พร้อมการขับเคลื่อนกระบวนการเพื่อกดดันให้ฝ่ายอำนาจรัฐดำเนินการในสิ่งที่ฝ่ายวอร์รูมต้องการ

ขณะเดียวกันอีกฟากหนึ่ง ไพบูลย์ นิติตะวัน หนึ่งในแนวร่วมคนสำคัญของม็อบ กปปส.ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการป้องกันพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สปช. ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาล คสช. ก็ใช้ตำแหน่งหน้าที่และอำนาจในการทำลายองค์กรปกครองสงฆ์ และขับเคลื่อนในเป้าหมายเดียวกับพุทธะอิสระ 

แม้ทั้งคู่จะดูเหมือน แยกกันเดิน เพื่อตบตาสังคมว่าไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ต่างก็มีแนวทางและเป้าหมายเดียวกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ 

เมื่อคนกลุ่มนี้สามารถผลักดันทุกอย่างไปสู่อำนาจรัฐ ผลลัพธ์ก็คือ สมเด็จวัดปากน้ำและวัดพระธรรมกาย กลายเป็น "เป้าหมายหลัก" ที่ถูกโจมตีอย่างหนักตั้งแต่หลังรัฐประหาร คสช. โดยเฉพาะการใช้อำนาจผ่าน "กรมสอบสวนคดีพิเศษ" ในการดำเนินคดีต่างๆ อย่างรวดเร็วว่องไว มีกระบวนพยายามทำลายชื่อเสียงพระเถระ ด้วยข้อหาที่ร้ายแรงที่สุด พร้อมทั้งสร้างกระแสการออกหมายจับ/หมายเรียก/การให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาและความพยายามที่จะบุกจับกุมตัว เพื่อทำลายภาพลักษณ์และลดความน่าเชื่อถือ 

โดยเฉพาะกรณีวัดพระธรรมกาย ซึ่งถือเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดเพราะมีประชาชนศรัทธาเป็นจำนวนมาก จึงถูกดำเนินการอย่างหนักหน่วงรุนแรง เพื่อลดฐานสนับสนุนสมเด็จวัดปากน้ำ ด้วยการดำเนินคดีฟอกเงิน (จากเงินบริจาค) กับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเชื่อมโยงให้ชัดเจนมากขึ้นว่า สมเด็จวัดปากน้ำ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ ของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ก็ต้องต้องมลทิน และไม่เหมาะสมที่จะขึ้นเป็น "สมเด็จพระสังฆราช" และสมควรให้พระรูปอื่น ที่ไร้มลทินติดตัวขึ้นสู่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชแทน 

ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้มีการ "คัดเลือกผู้เหมาะสมจะเป็นสมเด็จพระสังฆราช" กันใหม่ ขณะเดียวกัน ก็ปรากฏว่า มีความพยายามแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 มาตรา 7 โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการการเสนอชื่อสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งส่งผลอย่างยิ่งต่อ "สมเด็จวัดปากน้ำ" ที่มหาเถรสมาคม มีมติเสนอชื่อให้สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชก่อนหน้านี้ไปแล้ว  

เท่ากับว่า เมื่อไรก็ตามที่สามารถสกัด "สมเด็จวัดปากน้ำ" และเปิดทางให้มีการ "คัดเลือกผู้เหมาะสมจะเป็นสมเด็จพระสังฆราช" กันใหม่ ก็จะเป็นโอกาสให้ คนบางกลุ่ม-บางพวก สามารถหาช่องทางผลักดันคนของตัวเอง ให้ขึ้นครองอำนาจในส่วนของศาสนาจักร ในประเทศไทยโดยอัตโนมัติ เพราะเมื่อตำแหน่ง "สมเด็จพระสังฆราช" ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มนั้น ก็เท่ากับอำนาจในฝ่าย "ศาสนจักร" ทั้งหมดก็จะเบ็ดเสร็จอยู่ในหมู่คนกลุ่มนี้เพียงกลุ่มเดียว 

และขณะนี้ดูเหมือน ร่างรัฐธรรมนูญ 2559 ฉบับ คสช.ก็จะเอื้อให้คนพวกนี้ได้ไปสู่หนทางในการรวบอำนาจศาสนจักรมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะใน มาตรา 67 ที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากในการกำหนดให้เปิดทางการเผยแพร่พุทธศาสนาเฉพาะบางนิกาย ซึ่งก็ไปตรงกับฝ่ายความเชื่อของกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนไหวยึดศาสนาจักรอยู่ในขณะนี้เสียด้วย ที่เป็นฝ่ายที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆ เพียงกลุ่มเดียว

เครดิต: Unknown- From LINE 

No comments:

Post a Comment