ภูมิพล คนรวยที่ไร้ความกล้าหาญในการทำความดี
ใจ อึ๊งภากรณ์
นายภูมิพลเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ ไร้ความกล้าหาญ และไม่มีอุดมการณ์ดีๆ ของตนเองเลย แต่ในขณะเดียวกันเป็นคนโลภทรัพย์และหลงตัวเอง เขาใช้ชีวิตของอภิสิทธิ์ชนอันไร้ประโยชน์ ขณะที่ล้อมรอบไปด้วยขี้ข้าที่คอยเลีย หมอบคลาน และชมว่านายภูมิพลเป็น "เทวดา" แท้จริงแล้วนายภูมิพลเป็นคนน่าสมเพชที่ไม่น่าสงสาร เป็นคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของสังคมไทย และพร้อมจะปล่อยให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยถูกเข่นฆ่าเหมือนผักเหมือนปลา
ตลอดชีวิตของเขา เขามีส่วนสำคัญในการให้ความชอบธรรมกับเผด็จการที่ทำให้สังคมไทยล้าหลังและขาดประชาธิปไตยจนถึงทุกวันนี้
ในช่วงท้ายของชีวิต นายภูมิพลปล่อยให้ประชาชนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยถูกทหารฆ่าตาย และปล่อยให้ทหารใช้คดี 112 เพื่อจำคุกผู้บริสุทธิ์ที่คัดค้านเผด็จการ โดยที่ทหารอ้างตลอดว่ากำลัง "ปกป้อง" นายภูมิพลและครอบครัว
นายภูมิพลอาสาด้วยความเต็มใจ ที่จะเป็นเครื่องมือของทหาร ที่คอยทำรัฐประหาร กีดกันประชาธิปไตยและความเจริญทางเศรษฐกิจของประชาชน สำหรับนายภูมิพลการทำหน้าที่ดังกล่าวสร้างผลประโยชน์ให้ตัวเขาเองมากมาย นายภูมิพลสามารถสะสมทรัพย์สินมหาศาลจากการทำงานของประชาชน จนกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศไทยและกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก ในขณะเดียวกันนายภูมิพลบังอาจที่จะเสนอว่า "ราษฎร" ควรพึงพอใจในความยากจนของตนเอง ผ่านลัทธิ "เศรษฐกิจพอเพียง" นี่คือนิสัยของคนที่ "ทำนาบนหลังคนอื่น" ไม่ต่างจากกษัตริย์ทั่วโลก
ข้าทาสบริวารต่างๆ ของภูมิพล ต้องคอยส่งเสริมรูปภาพหยดเหงื่อที่ปลายจมูกของนายภูมิพล เพื่อสร้างภาพหลอกลวงว่าเขาทำงานหนักได้ อย่างไรก็ตามรูปถ่ายแบบนี้ดูเหมือนจะมีรูปเดียว เพราะนายภูมิพลไม่เคยออกแรงให้เหงื่อออกจริงๆ ไม่เหมือนชาวไร่ชาวนาหรือกรรมกร และนายภูมิพลไม่เคยละอายใจที่จะมีคนมาคลานต่อหน้าตนเองเหมือนสัตว์ หรือใช้ภาษาโบราณราชาศัพท์ เหมือนกับว่าเขาเป็นเทพเจ้า
นายภูมิพลเกิดที่สหรัฐและใช้ชีวิตวัยรุ่นอันแสนสบายในสวิสแลนด์ การที่เขาชอบขับรถสปอร์ดเร็วๆ ทำให้เขาต้องสูญเสียลูกตาข้างหนึ่งในอุบัติเหตุ ก่อนหน้านั้นในปี ๒๔๘๙ นายภูมิพลได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์เมื่อพี่ชายถูกยิงตาย เหตุการณ์นี้อธิบายได้สองทางคือ เป็นการฆ่าตัวตายของพี่ชายเอง หรือเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการเล่นปืนกับนายภูมิพล ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เราแน่ใจได้คือนายภูมิพลทราบข้อมูลทุกอย่างและอยู่ในสถานที่เมื่อเกิดเหตุ แต่นายภูมิพลไม่มีความซื่อสัตย์หรือคุณธรรมพอที่จะพูดความจริง ปล่อยให้คนบริสุทธิ์สามคนถูกประหารชีวิต และปล่อยให้ท่านอาจารย์ปรีดีถูกป้ายร้ายจากคู่แข่งทางการเมือง หลังจากนั้นนายภูมิพลก็หากินกับการเป็นกษัตริย์ในรูปแบบที่เห็นแก่ตัว ขาดความซื่อสัตย์ ขาดคุณธรรม และขาดความรับผิดชอบต่อประชาชนมาตลอด
ในช่วงเผด็จการทหารที่ป่าเถื่อนและคอร์รับชั่น หลังรัฐประหารของ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายสฤษดิ์ได้ขยันสร้างแนวร่วมกับพวกรักเจ้าเพื่อเชิดชูกษัตริย์และแสวงหาความชอบธรรมกับตนเองและอำมาตย์ทั้งหลาย เพราะตั้งแต่ยุครัชกาลที่๗ ผ่านการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่เสื่อมศรัทธาในสถาบันกษัตริย์จนกระแสสาธารณรัฐมาแรง ในยุคนั้นแม้แต่ผู้นำทางทหารหลายคนอย่างเช่นจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ไม่ต้องการกษัตริย์ นายสฤษดิ์กับพวกที่คลั่งเจ้าอาศัยบรรยากาศสงครามเย็น เพื่อส่งเสริมและเชิดชูนายภูมิพลในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านคอมมิวนิสต์ และรัฐบาลสหรัฐก็ช่วยโดยการแจกรูปภาพนายภูมิพลให้ประชาชน ใครไม่นำไปแขวนไว้ในบ้านต้องถูกกล่าวหาว่าเป็น "แดง"
เมื่อนายสฤษดิ์ตายไปด้วยโรคตับแข็ง นายภูมิพลเสียใจมากเพราะผู้อุปถัมภ์ของตนดับไป แต่ก็สามารถทำงานร่วมกับนายถนอมและนายประภาส ลูกน้องสฤษดิ์ที่ขึ้นมาเป็นเผด็จการโกงกินรุ่นใหม่ได้ดี ในช่วงนี้และช่วงสฤษดิ์ นายภูมิพลไม่เคยมีจิตสำนึกพอที่จะวิจารณ์การคอร์รับชั่นของทหารและการที่สังคมไม่มีสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยเลย เขาไม่เคยเปลี่ยน ยุคนั้นเป็นยุคที่เผด็จการทหารเริ่มเชิดชูโครงการหลวงทั้งหลาย แต่โครงการดังกล่าวของนายภูมิพล ไม่ได้พัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนเท่าไร โดยเฉพาะถ้าเทียบกับนโยบายการพัฒนาของรัฐบาลไทยรักไทย
ในเดือนตุลาคม ๒๕๑๖ นักศึกษาและประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้ลุกขึ้นไล่เผด็จการทหารจนสำเร็จ ฝ่ายอำมาตย์จึงเรียกร้องให้นายภูมิพลออกโรงเพื่อปกป้องระบบอภิสิทธิ์ชน นายภูมิพลจึงออกมาพูดทางโทรทัศน์และฉวยโอกาสสร้างภาพว่าตนเป็น "กษัตริย์ประชาธิปไตย" อย่างไรก็ตามเมฆดำแห่งการต่อสู้ทางชนชั้นก็มาท้าทายอำมาตย์ ยุคนั้นเป็นยุคสงครามสหรัฐในเวียดนาม
นักศึกษาและประชาชนต่างต้องการให้สังคมไทยพัฒนาและมีความเป็นธรรม คนจำนวนมากเริ่มสนใจความคิดของพรรคคอมมิวนิสต์ นายภูมิพลจึงร่วมมือกับอำมาตย์อื่นๆ ในการพยายามปกป้องทรัพย์สินและตำแหน่งด้วยการก่อตั้งกลุ่มอันธพาลฝ่ายขวาเช่นลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มอันธพาลเหล่านี้ พร้อมกับตำรวจ ตชด. ได้ก่อเหตุนองเลือดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ในวันเดียวกันมีการทำรัฐประหาร และตั้งรัฐบาลเผด็จการป่าเถื่อนที่ปราบปรามผู้รักประชาธิปไตยและเซ็นเซอร์สื่อทุกชนิด หลังจากนั้นเพียงสองเดือน ในวันเกิดของเขาปีนั้น นายภูมิพลได้แสดงความพึงพอใจกับเหตุการณ์นี้ และอ้างว่ารัฐประหารเป็น "สิ่งจำเป็น" เพราะประเทศไทยมี "ประชาธิปไตยมากเกินไป"
ท้ายยุครัฐบาลนายเปรม พื้นที่ประชาธิปไตยเริ่มเปิดกว้างขึ้นและมีการเลือกตั้งนายชาติชายเป็นนายกรัฐมนตรีพลเรือน แต่ในไม่ช้าฝ่ายทหารภายใต้การนำของนายสุจินดาก็ทำรัฐประหารและทำลายประชาธิปไตยอีกครั้ง นายภูมิพลก็ออกมาชมนายสุจินดาตามหน้าที่กษัตริย์เด็กดีที่ร่วมหากินกับทหาร แต่โชคดีที่ประชาชนไม่ฟัง จึงมีการลุกฮือล้มเผด็จการในเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ พอสถานการณ์ชัดเจนว่าประชาชนชนะ นายภูมิพลก็ออกมาฉวยโอกาสสร้างภาพอีกครั้งเพื่ออ้างว่าตนรักประชาธิปไตย
หลังจากนั้นมีการเลือกตั้งเสรี และนักการเมืองทั้งหลายก็แข่งกันหมอบคลานและเชิดชูนายภูมิพลว่าเป็น "มหาราช" หรือ "สุเปอร์แมน" ที่เก่งในทุกเรื่อง ทั้งนี้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่นักการเมืองและนักธุรกิจทั้งหลายเอง นายภูมิพลดูเหมือนว่าจะหลงตัวเองไปด้วย นักการเมืองคนหนึ่งที่เชิดชูนายภูมิพลคือ นายทักษิณ ซึ่งนายกคนนี้สามารถครองใจประชาชนและชนะการเลือกตั้งได้หลายรอบ
ใน "สงครามยาเสพติด" ที่มีการวิสามัญเข่นฆ่าประชาชนบริสุทธิ์ โดยเจ้าหน้าที่รัฐ นายภูมิพลไม่มีความกล้าหาญที่จะออกมาตำหนิการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลไทยรักไทยเลย แต่กลับชมนายกทักษิณว่าทำในสิ่งที่จำเป็น มันพิสูจน์ว่านายภูมิพลไหลลื้นไปตามกระแสเสมอ
ในรอบห้าปีแรกของรัฐบาลไทยรักไทย นโยบายสุขภาพถ้วนหน้าและนโยบายกองทุนหมู่บ้าน สามารถพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนในลักษณะที่ไม่เคยเกิดในอดีตและไม่เคยเกิดจากโครงการหลวงในรอบหกสิบปี การครองใจประชาชนในระบบประชาธิปไตยแบบนี้ทำให้คู่แข่งของนายกทักษิณ โดยเฉพาะพวกอำมาตย์หัวเก่าและนายทหาร อึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง พวกนี้จึงก่อสถานการณ์และทำรัฐประหารเพื่อทำลายประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง ในการทำลายประชาธิปไตยรอบนี้ นายภูมิพลก็ให้ความชอบธรรมกับทหารและอำมาตย์ตามเคย และยอมให้ทหาร เสื้อเหลือง และม็อบสุเทพ ใช้ชื่อของเขาในการประพฤติตัวแบบโจร
ในเดือนเมษายนและพฤษภาคมปี ๒๕๕๓ ท่ามกลางการเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าของทรราชอภิสิทธิ์และกองทัพไทย นายภูมิพลนิ่งเฉย ไม่มีความกล้าหาญ อุดมการณ์ หรือศีลธรรม พอที่จะออกมาห้าม ปล่อยให้พลเมืองล้มตายและบาดเจ็บจำนวนมาก แค่เหตุการณ์นี้เหตุการณ์เดียวก็พิสูจน์ว่าการมีกษัตริย์เป็นประมุขไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับประชาชน ถ้ากษัตริย์ไม่พร้อมจะปกป้องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของประชาชน ก็สิ้นเปลืองงบประมาณเปล่าๆ และร้ายกว่านั้น การปกป้องกษัตริย์กลายเป็นข้ออ้างของทหารโจรที่จะฆ่าประชาชนด้วย เหตุการณ์นี้และทุกอย่างที่เกิดจากรัฐประหาร ๑๙ กันยา ๒๕๔๙ เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้พลเมืองไทยจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามกับระบบกษัตริย์ ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยในประเทศไทยต้องการให้ระบบกษัตริย์สิ้นไปจากแผ่นดิน
หลายคนในสังคมไทยเข้าใจผิดว่านายภูมิพลวางแผนและสั่งการให้เกิดรัฐประหาร ๑๙ กันยา ๒๕๔๙ แท้จริงแล้วนายภูมิพลไม่เคยมีอำนาจแบบนี้และไม่มีปัญญาหรือความกล้าที่จะเป็นผู้นำด้วย หน้าที่ของกษัตริย์ภูมิพลคือการให้ความชอบธรรมกับพฤติกรรมเลวๆ ของทหารและอำมาตย์ นี่คือสาเหตุที่ทหารและอำมาตย์สร้างภาพว่านายภูมิพลเป็น "เทวดาศักดิ์สิทธิ์" การคลั่งกษัตริย์ของฝ่ายทหารและนายทุนเพิ่มทวีขึ้นหลังการเปิดพื้นที่ประชาธิปไตย ยุคหลังป่าแตก เพราะชนชั้นปกครองหัวเก่าต้องแข่งกับความชอบธรรมชุดใหม่ที่มาจากประชาธิปไตย เขาเลยเลือกสร้างความชอบธรรมที่มาจากการสร้างนิยายเรื่องภูมิพล ที่สำคัญคือพวกนั้นต้องการให้เราหลงเชื่อว่านายภูมิพลมีอำนาจล้นฟ้า เพื่อให้กษัตริย์เป็นหน้ากากปิดปังหน้าของเขาเอง
นอกจากการให้ความชอบธรรมกับการทำลายประชาธิปไตยซ้ำแล้วซ้ำอีก นายภูมิพลมีหน้าที่เสนอลัทธิเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อคัดค้านการกระจายรายได้และแช่แข็งความยากจน โดยมีการเสนอว่าคนจนต้องมีความพึงพอใจในสถานภาพของตนเองท่ามกลางความร่ำรวยของคนใหญ่คนโต ลัทธิเศรษฐกิจพอเพียงไปได้สวยกับลัทธิเสรีนิยมกลไกตลาดของพวกประชาธิปัตย์ ทีดีอาร์ไอ นายทุนใหญ่ และทหาร เพราะเป็นระบบ "มือใครยาวสาวได้สาวเอา มือใครสั้นต้องอดทนกับความจน" ทั้งสองแนวคิดนี้คัดค้านการใช้รัฐในการพัฒนาชีวิตประชาชน
ในช่วงท้ายของชีวิต ตั้งแต่นายประยุทธ์ทำรัฐประหารรอบใหม่ นายภูมิพลหมดสภาพ เกือบจะพูดไม่ออกและเดินไม่ได้ แต่สำหรับคนอย่างประยุทธ์ คนแก่นั่งรถเข็นน้ำลายยืด ยังใช้เป็นเครื่องมือได้เสมอ
นายภูมิพลใช้ชีวิตอันสุขสบายท่ามกลางนิยายโกหก มีการสร้างให้เขาเป็น "พ่อของชาติที่ทุกคนรัก" ทั้งๆ ที่ลูกหลานของเขาเองล้วนแต่ผิดปกติ โดยเฉพาะเจ้าฟ้าชายที่กดขี่สตรีและสนใจแต่ความสุขของตนเอง
มีการเสนอว่าภูมิพลเป็น "อัจฉริยะ" และมีการพูดว่านายภูมิพลมีชีวิต "เรียบง่าย" ผูกเชือกรองเท้าตัวเองได้ แต่ถ้าใครจะตั้งคำถาม เปิดโปงความจริง หรือวิจารณ์อะไรก็จะต้องโดนลงโทษอย่างหนักด้วยกฎหมายหมิ่นฯ 112
นายภูมิพลเป็นคนพิการในด้านความสัมพันธ์กับมนุษย์ผู้อื่น ชอบสังคมหมามากกว่าสังคมคน เมื่อเขาตายประชาชนไทยนับล้านคงหวังว่าสังคมและการเมืองเราจะพัฒนาและคืบหน้าสักที แต่คนที่คิดแบบนี้จะผิดหวัง เราจะไม่พบฟ้าสว่างหลังภูมิพลตาย เพราะสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดโดยอัตโนมัติ เรายังมีทหารเผด็จการและอำมาตย์อยู่ เราต้องทำลายอำนาจทหาร เราต้องสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้ในระบบสาธารณรัฐที่ไม่มีกษัตริย์ และเราต้องนำทรัพย์สินมหาศาลและวังต่างๆ ของราชวงศ์มาเป็นของประชาชน เพื่อสร้างรัฐสวัสดิการอย่างถ้วนหน้า
จงเดินหน้าสู่สาธารณรัฐ จัดตั้งขบวนการก้าวหน้าของมวลชน! ประชาชนจงเจริญ
No comments:
Post a Comment